หากท่านคิดจะไปสัมผัสมนต์เสน่ห์ของแดนภารตะอินเดีย ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดทางวัฒนธรรมเก่าแก่ที่ยาวนานกว่า 5,000 ปีแล้ว และมีสถาปัตยกรรม วัฒนธรรม หลากหลายสวยงาม
“มัชรูมทราเวล” แนะนำ เที่ยว 3 เมืองแดนภารตะอินเดีย: อักรา-ฟาแตห์ปูร์ สิครี-จัยปูร์ ซึ่งในแต่ละเมืองแห่งนี้ มีความสวยงามที่แตกต่างกัน เริ่มจาก เมืองอักรา อันมีสุดยอดจุดหมายปลายทางมหัศจรรย์คือ ทัชมาฮาล อนุสรณ์แห่งความรัก ใกล้ๆ กันเป็น เมืองฟาแตห์ปูร์ สิครี อาณาจักรโบราณที่ยิ่งใหญ่ และตบท้ายด้วย เมืองจัยปูร์ ชมป้อมแอมแมร์ สุดอลังการ เชิญสัมผัสมนต์เสน่ห์ของ 3 เมือง พร้อมๆ กันได้เลยจ้า
1. เมืองอักรา
เมืองอัครา หรือ เมืองอักรา ได้ชื่อว่าเป็นเมืองประวัติศาสตร์ของการสู้รบ และเมืองเจริญทางด้านศิลปะสถาปัตยกรรมอันเลื่องลือมาแต่โบราณ ตั้งอยู่รัฐอุตตรประเทศ อยู่ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย เป็นรัฐชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยวและเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญและมีชื่อเสียงในระดับโลก
เมืองอัครา เคยเป็นศูนย์กลางการปกครองของอินเดียในสมัยราชวงค์โมกุล และเป็นหนึ่งในเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในอุตรประเทศด้วย จุดหมายปลายทางของเมืองนี้ คือ “ทัชมาฮาล” และ ป้อมอักรา หรือ ป้อมอัครา ไปดูกัน
ทัชมาฮาล
ทัชมาฮาลเป็น 1 ใน 7 ของสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ที่ตั้งอยู่ริมน้ำยุมนา เมืองอัครา ประเทศอินเดีย และเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความรักอันยิ่งใหญ่และอมตะของพระเจ้าชาห์จาฮันที่มีต่อพระนางมุมตัซ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1631 ซึ่งได้ถูกรับเลือกเป็นมรดกโลกเในปี ค.ศ.1983 โดยมีเหตุผลตามเกณฑ์การพิจารณาคือ เป็นตัวแทนซึ่งแสดงผลงานชิ้นเอกที่จัดทำขึ้นด้วยการสร้างสรรค์อันฉลาด
สุสานหินอ่อนที่ผู้คนเชื่อว่า เป็นสถาปัตยกรรมแห่งความรักที่มีความงดงามวิจิตรตระการตายิ่งนัก มีนักท่องเที่ยวเดินทางแวะเวียนมาเยี่ยมชม ทัชมาฮาล เป็นจำนวนมาก สร้างขึ้นจากหยาดเหงื่อแรงกายของชายมากว่า 20,000 คน โดยใช้เวลาก่อสร้างถึง 20 ปี ทั้งยังได้รับการยกย่องว่าเป็นตัวอย่างชั้นเลิศของสถาปัตยกรรมมุฆัลในอินเดีย โดยเป็นอนุสาวรีย์แห่งความรักที่กษัตริย์ชาห์ จาฮัน ทรงรับสั่งให้เนรมิตขึ้นเพื่อเป็นสถานที่ฝังศพของพระนางมุมทัซ มาฮาล มเหสีที่พระองค์รักมากที่สุด
ทัชมาฮาล ถือเป็นสถาปัตยกรรมชิ้นเอกของโลกที่ออกแบบโดยช่างจากเปอร์เซีย อาคารตรงกลางเป็นรูปโดม มีหอคอยสี่เสาล้อมรอบ ตรงกลางด้านในเป็นที่ฝังพระศพของพระนางมุมตัซ มาฮาล และ พระเจ้าชาห์จาฮัน และประตูสุสานที่สลักตัวหนังสือภาษาอาระบิค เป็นถ้อยคำอุทิศและอาลัยต่อสิ่งรักที่จากไป และมีความสมมาตรในทุกด้าน สร้างขึ้นด้วยหินอ่อนฝังด้วยอัญมณีเพชรพลอยที่แตกต่างกัน 28 แบบ ในช่วงที่ ทัชมาฮาล สร้างเสร็จสมบูรณ์ กษัตริย์ชาห์ จาฮัน ได้ถูกจองจำอยู่ที่คุกอักราโดยบุตรชาย และหลังจากพระองค์เสด็จสวรรคต ก็ได้มีการนำพระศพมาฝังไว้เคียงข้างพระมเหสี พระนางมีโอรสและธิดาให้ชาร์จะฮาน 13 พระองค์ ในปี 1631 พระนางทรงสิ้นพระชนม์ระหว่างมีพระประสูติกาลนั่นเอง
ป้อมอักรา หรือ ป้อมอัครา
ป้อมปราการสำคัญที่สุดในประเทศอินเดีย ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของทัชมาฮาล สร้างโดยพระเจ้าอัคบาร์มหาราชแห่งราชวงศ์โมกุล ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 สร้างด้วยกำแพงหินทรายสีแดง ล้อมรอบพระราชวังของ กษัตริย์โมกุล มีความยาว 2.5 กิโลเมตร รั้วรอบกำแพงของอัครา ฟอร์ทดูแข็งแกร่งมาก ป้อมเป็นรูปครึ่งวงกลม อยู่ตรงบริเวณโค้งของแม่น้ำยมุนา มีกำแพงสองชั้น ระหว่างกำแพงมีคูน้ำคั่นกลางด้วย
ป้อมอักรา เริ่มสร้างขึ้นโดยอักบาร์เมื่อปี พ.ศ. 2108 ชาหังคีร์และชาห์ ชหานสร้างเพิ่มเติมต่อมา ประตูทางเข้ามีความใหญ่โตมากกว่าที่ป้อมแดงเดลี และไม่มีเชิงเทินบับหน้าทางเข้าจากประตูใหญ่ทำให้คดเคี้ยว ป้อมอักรา เป็นทั้งพระราชวังที่ประทับและเป็นป้อมปราการ ต่อมาพระโอรส คือ พระเจ้าชาฮันกีร์ และพระนัดดา (โอรสของพระเจ้าชาฮันกีร์) พระเจ้าชาห์ จาฮาน ได้สร้างสร้างขยายต่อเติมป้อมและพระราชวังแห่งนี้อย่างใหญ่โต
ก่อนทางเข้า ป้อมอัครา จะผ่านประตูอมรสิงห์ เป็นประตูศิลาทำเป็นรูปม้าครึ่งตัว มีป้อมล้อมรอบทั้ง 4 ด้าน ได้ถูกบันทึกว่ามีมาตั้งแต่ ค.ศ.1080 แล้ว ต่อมากษัตริย์อักบาร์ได้ทำการปฏิสังขรณ์และตกแต่งใหม่ด้วยหินทรายและศิลาสี แดงในปี ค.ศ.1565 ลักษณะของป้อมเป็นรูปโค้งครึ่งวงกลมขนาดใหญ่ตั้งอยู่โค้งแม่น้ำยมุนา ซึ่งถือเป็นมุมที่มองเห็นทัชมาฮาลได้สวยที่สุดก็ว่าได้
ภายใน ประกอบด้วยพระราชวัง เช่น วังจาฮานกีร์ และคาสมาฮาล ซึ่งสร้างโดยชาห์จาฮาน ห้องท้องพระโรงใหญ่ เช่น ไดวาน-อิ-คาส และสุเหร่าที่งดงามมากอีก 2 หลัง
เชิญเยี่ยมชม ป้อมอักรา แหล่งมรดกโลกริมแม่น้ำยมุนา ที่ได้รับการรับรองจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกเช่นเดียวกันกับทัชมาฮาล ตั้งแต่ในปี ค.ศ.1983
เมืองอัครา เป็นเมืองประวัติศาตร์สำคัญอีกแห่งของแดนภารตะ ที่ก่อเกิดมรดกโลกไว้ถึง 2 อย่าง คือ ทัชมาฮาล อนุสรณ์สถานรักเหนือกาลเวลา และ ป้อมอัครา ที่กักขังรักไว้จนสิ้นลม
ใกล้ๆ กับเมืองอัครา คือ เมืองฟาแตห์ปูร์ สิครี ไปดูกันว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง
2. เมือง ฟาแตห์ปูร์ สิครี
เมืองฟาแตห์ปูร์ สิครี หรือ เมืองฟาเตห์ปูร์ สิครี อยู่ห่างจากเมืองอักราเพียง 40 กิโลเมตร เป็นเมืองสมบูรณ์แบบที่สุด ซึ่งสร้างตามคติความเชื่อของอิสลาม ผสมผสานระหว่างรูปแบบอิสลามและฮินดูเข้าไว้ด้วยกัน สร้างโดยพระเจ้าอัครามหาราชแห่งราชวงศ์โมกุล
เมืองฟาแตห์ปูร์ สิครี เป็นเมืองที่สร้างด้วยหินทรายสีแดง ขนาดใหญ่มาแกะสลักลวดลายที่ละเอียดวิจิตรพิศดาร บางส่วนก็เป็นดอกไม้ ใบไม้แบบของอิสลาม บางส่วนก็เป็นเรื่องราวตามตำนานของฮินดู บางที่ก็ฉลุเป็นช่องหน้าต่างได้อย่างละเอียดจนน่าพิศวง
เมืองฟาแตห์ปูร์ สิครี มีทั้งมัสยิด เขตพระราชฐาน ฮาเร็ม ตำหนักใน สระน้ำ สวนขนาดใหญ่ มีเวทีแสดงดนตรีกลางสระน้ำตั้งอยู่บนภูเขาใกล้หมู่บ้านสิครี ใช้เวลาสร้างถึง 9 ปี จึงแล้วเสร็จ แต่หลังจากนั้นเพียง 15 ปี ก็กลายเป็นเมืองร้างเพราะว่าขาดน้ำในการดำรงชีวิต
เมืองฟาเตห์ปูร์ สิคริ เป็นราชธานีเดียวในแดนภารตะอินเดีย ที่ท่านสามารถเที่ยวชมศิลปกรรมของราชวงศ์โมกุล ซึ่งอยู่ในสภาพสมบูรณ์แบบที่สุด และได้รับสมญานามว่า เมืองปีศาจ เพราะเป็นราชธานีที่ถูกทิ้งล้าง จนลืมเลือน
ตบท้ายด้วยการเที่ยวชมเมืองชัยปุระ เป็นอีกเมืองหนึ่งของอินเดียที่น่าสนใจ ไปดูพร้อมกัยเลยจ้า
3. เมืองจัยปูร์
เมืองชัยปุระ หรือ เมืองจัยปูร์ อยู่ห่างจากเมืองนิวเดลีประมาณ 300 กิโลเมตร ถนนจากเมืองนิวเดลีไป เมืองชัยปุระค่อนข้างดี สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1728-1732 เคยเป็นเมืองหลวงของแคว้นราชสถาน ทางตะวันตกของอินเดีย สร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อปีค.ศ.1728 โดยมหาราชา ไสว ชัย สิงห์ ที่ 2 ตัวเมืองออกแบบวางผังให้เป็นเสมือนเมืองแห่งเทพเจ้า
เมืองชัยปุระ เป็นเมืองแห่งพระอาทิตย์ ตามแผนภูมิของจักรวาล โดยมีพระราชวังชัยปุระอันงดงามเป็นแกนกลางแห่งจักรวาลนั่นเอง ตัวเมืองมีขนาดถึง 9 ตารางกิโลเมตร
เมืองชัยปุระ ได้รับสมญาว่า นครสีชมพู Pink City เพราะอาคารบ้านเรือนที่นี่ทาสีชมพู เนื่องจากในสมัยมหาราชา ราม สิงห์ อินเดียเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ ในปี ค.ศ.1853 เจ้าชายอัลเบริต ดยุคแห่งเอดินบะระ พระสวามีของสมเด็จพระนางเจ้าวิคทอเรีย เสด็จประพาสเมืองชัยปุระ มหาราชา ราม สิงห์ เลยสั่งให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตเมือง ร่วมกันทาสีบ้านเรือนด้วยสีชมพูทั้งเมืองเพื่อถวายการต้อนรับ ชัยปุระจึงได้ชื่อว่านครสีชมพูตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เชิญเยี่ยมชมนครสีชมพู เมืองเก่แก่ของอินเดีย ที่มีบ้านเรือน ร้านตลาดทาสีชมพู และศิลปะแบบฮินดูผสมมุสลิม ตัวตึกมียอดเป็นโดมคล้ายของมุสลิม แต่มีซุ้มที่เป็นช่องทำเป็นลวดลายโค้งเว้าเป็นสิบเว้าแบบฮินดู รวมทั้ง เมืองชัยปุระ ยังมีพระราชวังสวยงาม เช่น พระราชวังแอมเบอร์ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติชัยปูร์ และพระราชวังสายลม เชิญไปสัมผัสสถานที่เหล่านี้จ้า
พระราชวังแอมเบอร์
ปราสาทขนาดมหึมาอยู่บนยอดเขาสูง อันเป็นส่วนหนึ่งของแนวป้อมปราการ ที่มีกำแพงเมืองทอดยาวเลื้อยคดเคี้ยวไปตามแนวเขาเหยียดยาวกว่า 13 กิโลเมตร ตั้งตระหง่านอยู่บนภูผาเชิงเขาอราวารี เริ่มสร้างโดยพระเจ้ามั่นใจซิงค์ที่ 1 ในปี ค.ศ. 1592 แห่งกองทัพพระเจ้าอัคบาร์ กษัตริย์มุสลิมแห่งราชวงศ์โมกุล มีลักษณะเป็นป้อมปราการหินทรายแดงเป็นศิลปะสถาปัตยกรรมผสมผสานของทั้งโมกุล (อิสลาม) และ ฮินดูที่เข้ากันอย่างลงตัว และสร้างเสร็จในยุคของพระเจ้าชาไวใจซิงค์ที่ 2 ต่อมาพระองค์ได้ย้ายเมืองหลวงลงมายังเมืองชัยปูร์ในปัจจุบัน
ตัวพระราชวังอยู่ด้านในสุดของป้อมปราการ รายล้อมด้วยซุ้มประตู สวนหย่อม ด้วยความที่ตั้งอยู่ในที่สูง จึงสามารถมองแห่งทิวทัศน์ของเมืองได้อย่างดีเยี่ยม ห้องโดดเด่นที่สวยงามอลังการสุดๆ ในพระราชวังแอมเบอร์ คือ ท้องพระโรงใน ที่เรียกว่า "Jain Mandir" ห้องประกาศศักดาแห่งชัยชนะ ผนังและเพดานประดับด้วยกระจกชิ้นเล็กๆ ประดับเรียงเป็นรูปดอกไม้ แจกัน อันละเอียดลออตา นอกจากนี้ มีพระราชวังฤดูร้อน พระราชวังฤดูหนาวที่ประดับด้วยพลอยหลากสี ห้องที่ประทับในพระราชวังฤดูร้อนที่งดงาม โดยจำลองความงามของท้องฟ้ายามราตรีด้วย
การจะขึ้นไปบน ป้อมแอมเบอร์นั้น ทำได้หลายวิธีด้วยกัน เริ่มจากเดินขึ้นไปทางด้านหน้าตามทางเดินหิน แต่เส้นทางที่นักท่องเที่ยวนิยมคือ การนั่งช้าง ช้างหนึ่งเชือกสามารถบรรทุกคนได้ 4 คน หรือ สามารถขับรถขึ้นไป แต่ต้องไปขึ้นจากด้านข้างของ Fort ภายใน Fort จะถูกซอยย่อยเป็นห้องต่างๆ โดยมีระบบชลประทานส่งน้ำจากบึงด้านล่าง ที่นี่มีปืนใหญ่ Cannon ที่ถูกบันทึกเอาไว้ว่าใหญ่ที่สุดในโลกตั้งอยู่ด้วย
พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติชัยปูร์ หรือ พระราชวังสายน้ำ หรือ พระราชวังชัยปูร์
ตั้งอยู่ใจกลางเมืองล้อมรอบด้วยกำแพงสูง พระราชวังที่สร้างในน้ำ ภายใน เป็นพิพิธภัณฑ์ต่างๆ มากมายแบ่งส่วนออกเป็น พิพิธภัณฑ์ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเยี่ยมชม มีการแสดงทั้ง เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย อุปกรณ์ของใช้ ของมหาราชา และมเหสีต่างๆ ภาพวาด ภาพถ่าย เพื่อแสดงชีวิตความเป็นอยู่ของมหาราชา บางส่วนเป็นร้านค้าขายของ
พระราชวังสายน้ำ เป็นหนึ่งในหลายพระราชวัง ที่อยู่ในกำแพงเมืองของนครสีชมพู และเคยเป็นฮาเร็มของมหาราชา Jai Singh ll มีลักษณะเป็นอาคาร 5 ชั้น สร้างด้วยหินทรายออกแดงคล้ายสีปูนแห้ง เป็นรูปแบบของสถาปัตยกรรมสไตล์เปอร์เซียกับโมกุล ที่สวยเด่น คือ ลวดลายฉลุหินตามหน้าต่าง ช่องระบายอากาศที่บรรดานางสนมในวังใช้เป็นที่แอบดูชีวิตความเป็นอยู่ของสามัญชนทั่วไป และประโยชน์อีกอย่างคือเป็นช่องแสงและช่องลมมีช่องหน้าต่างจำนวนมากถึง 152 ช่อง
นอกจากนี้ พระราชวังสายน้ำ ยังเคยใช้เป็นหอดูดาวที่ใหญ่ที่สุดและแม่นยำที่สุดในอินเดีย เป็นที่รวมประติมากรรมคลาสสิกรูปทรงเรขาคณิตขนาดใหญ่หลายแบบ ถูกสร้างโดยมหาราชา Jai Singh ll ซึ่งเป็นผู้นำแห่งวิทยาการด้านดาราศาสตร์ที่เดียว ทรงศึกษาและสร้างเครื่องมือด้วยหินทรายแดงวัดตำแหน่งดวงอาทิตย์ดวงดาว หลายชิ้น บางชิ้นใช้คำนวณช่วงฤดูร้อนของปีที่จะมาถึง บางชินคำนวณอากาศและเม็ดฝน ที่นี่ มีสิ่งก่อสร้างรูปร่างแปลกๆมากมาย บางอันเป็นนาฬิกาเงาโดยคิดจากความยาวเงาที่เพิ่มขึ้น 4 เมตรต่อชั่วโมง
ฮวามาฮาล หรือ พระราชวังสายลม
ฮวามาฮาล สร้างโดยพระเจ้าประทับซิงค์ ในปี ค.ศ.1799 เคยเป็นสถานที่ที่สตรีชาววังในสมัยนั้นนั่งชมเทศกาล หรือ ขบวนแห่ต่างๆ ตลอดจนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนนอกวังบานหน้าต่างที่ประดับประดาไว้ด้วยลวดลายอันวิจิตรตระการตา
ฮวามาฮาล สร้างด้วยหินสีชมพูสูง 5 ชั้น กรุเป็นช่องตามหน้ามุขและหน้าต่างซึ่งรวมกันถึง 953 บาน ในแต่ละช่องจะมีมุขระเบียงและหลังคาเพื่อระบายลม ซึ่งเป็นที่มาของชื่อสร้างจากหินทรายสีแดงสด ฉลุหินให้เป็นช่องหน้าต่างลวดลายเล็กๆ ละเอียดยิบ ทำให้นางในฮาเร็มพระสนมที่อยู่ด้านในสามารถมองออกมาข้างนอกได้ โดยที่คนภายนอกมองเข้าไปข้างในไม่เห็น และประโยชน์อีกอย่าง คือ เป็นช่องแสงและช่องลม จนเป็นที่มาของชื่อ ฮวามาฮาล หรือ พระราชวังสายลม รอบๆ ฮาวามาฮาล รายล้อมด้วยตึกเก่าๆ ที่เป็นสีแดง แต่คนอินเดียบอกว่า สีชมพู จึงเป็นสมญาอีกอย่างของเมืองชัยปุระ ว่า นครสีชมพู Pink City
การได้มาเที่ยว 3 ราชธานี นามว่า "อักรา-ฟาแตห์ปูร์ สิครี-จัยปูร์" เหล่านี้ ถือว่ามีความสุข สนุก เพราะเป็นนครที่มีแหล่งอารยะธรรม ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และสถาปัตยกรรมสวยงาม ซึ่งสืบทอดมานับพันปี หลากหลายรูปแบบ พร้อมเพลิดเพลินใจกับการชมวิถีชีวิตของคนอินเดีย และวิวทิวทัศน์อันสวยงามแปลกตา ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัว แตกต่างกันไป
“มัชรูมทราเวล” เชื่อว่า หากท่านได้มาเยือนมหานครภารตะแห่งนี้ ท่านจะรู้สึกประทับใจและปรารถนากลับมาเที่ยวที่นี่อีกครั้ง เพราะ ที่นี่ มีมนตร์เสน่ห์ดึงดูดใจ จะช้าอยู่ใย หาเวลาว่างไปเที่ยวกันดีกว่า...
ไม่มีความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น