วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

สุดยอดสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีในโตเกียว ที่ใครๆ ก็ไปเที่ยวได้ง่ายๆ

การชมใบไม้เปลี่ยนสีสัน หรือ “โคโย” ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่ประเทศญี่ปุ่น ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมยอดนิยมไม่ต่างจากการชมดอกซากุระในช่วงฤดูใบไม้ผลิสำหรับชาวอาทิตย์อุทัยมานานนับศตวรรษ โดยจะเริ่มในช่วงประมาณกลางเดือนพฤศจิกายนไปถึงช่วงต้นเดือนธันวาคม ฤดูกาลจะค่อยๆ เริ่มจากภาคเหนือของประเทศจนถึงภาคใต้ คนจำนวนมากต่างทยอยเดินทางไปชมใบไม้เปลี่ยนสีในจุดที่มีชื่อเสียงที่สุดในญี่ปุ่นทั้งภูเขาและในเมือง ส่วนในกรุงโตเกียวนั้น ใบไม้จะเริ่มเปลี่ยนสีตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนจนถึงต้นเดือนธันวาคมของทุกปี โดยมีจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่มีชื่อเสียงอยู่มากมาย ดังเช่น 6 สถานที่ดังต่อไปนี้ที่มัชรูมทราเวลนำมาฝากทุกท่าน


สวนริคุงิเอน 



ในวันที่ 20 พฤศจิกายน – 7 ธันวาคม 2014 สวนริคุงิเอนเปิดให้บริการในเวลา 09.00- 21.00 น. โดยเสียค่าเข้าชมคนละ 300 เยน ซึ่งสวนริคุงิเอนนี้เป็นสวนขนาดใหญ่ในสมัยเอโดะที่ได้รับการยอมรับว่าสวยที่สุดในโตเกียว โดยภายในสวนประกอบไปด้วยเส้นทางเดินที่สองข้างทางประกอบไปด้วยต้นไม้ที่ให้ความร่มรื่นมากมาย มีสระน้ำขนาดใหญ่ตรงกลางสวนซึ่งล้อมรอบไปด้วยภูเขาที่มนุษย์สร้างขึ้น นอกจากนั้นริคุงิเอนยังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในช่วงฤดูใบไม้ร่วง อันเนื่องมาจากต้นเมเปิ้ลที่มีอยู่มากมายเต็มพื้นที่ของสวนแห่งนี้จะพากันเปลี่ยนเป็นสีแดงสวยแปลกตา 
How to get there:  เดินเท้าจากสถานีโคมาโกเมะไปทางทิศใต้ประมาณ 5-10 นาที ก็จะเจอกับประตูหลักทางเข้าสวนริคุงิเอนแล้ว 

สวนโคอิชิคาวะ โคระคุเอง


 

สวนโคอิชิคาวะ โคระคุเองเป็นอีกหนึ่งสวนสาธารณะที่โดดเด่นในเรื่องของการชมใบไม้เปลี่ยนสี ที่สำคัญยังตั้งอยู่ติดกับโตเกียวโดมอีกด้วย โดยโคอิชิคาวะ โคระคุเองเป็นสวนแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่ประกอบไปด้วยบ่อหินจำนวน 3 บ่อที่รายล้อมไปด้วยต้นเมเปิ้ลและต้นแปะก๊วย รวมถึงภูเขาหินที่มนุษย์สร้างขึ้นตามแบบฉบับของสวนในสมัยเอโดะ ทั้งนี้ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม ผู้คนจะหลั่งไหลมาที่นี่เพื่อชมใบไม้เปลี่ยนสีทั้งสีแดงของต้นเมเปิ้ลและสีเหลืองทองของต้นแปะก๊วย ซึ่งเปิดให้ชมทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น. โดยเสียค่าเข้าชมคนละ 300 เยนเท่านั้น
How to get there: จากสถานีรถไฟอิดาบาชิทางออกประตู C3 ใช้เวลาเดินเท้าเพียง 5-10 นาทีเท่านั้นก็จะถึงสวนแล้ว 

ถนนอิโชนามิกิ

 

ถนนอิโชนามากิตั้งอยู่ในย่านเมจิจิงกุที่ทั้งสองฝั่งของถนนปลูกต้นแปะก๊วยอยู่เรียงราย จนทำให้ที่นี่ถูกเรียกว่าถนนสายแปะก๊วย ซึ่งในช่วงเดือนพฤศจิกายนจนถึงเดือนธันวาคม ต้นแปะก๊วยทั้งหมดจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองน่าดู ทำให้นักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินทางมาชมความงามของต้นแปะก๊วยยังถนนแห่งนี้ บ้างก็มาเพื่อวาดภาพ บ้างมาเดินเล่น บ้างก็มาจิบกาแฟในร้านกาแฟริมถนน เป็นต้น
How to get there: นั่งรถไฟใต้ดินสายกินซ่าสีส้มมายังสถานีไกเอนมาเอะ จากทางออกหมายเลข 4 ให้เดินเลี้ยวไปทางซ้ายมือก็จะเจอกับทางเข้าถนนสายอิโชนามากิอันสวยงาม 

สวนสาธารณะชินจูกุ

 

สวนสาธารณะชินจูกุเป็นสวนขนาดใหญ่ที่ใหญ่ที่สุดและได้รับความนิยมอีกแห่งของโตเกียวที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานีชินจูกุ ซึ่งสวนแห่งนี้เป็นสวนแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมในสมัยเอโดะที่เต็มไปด้วยบ่อน้ำขนาดใหญ่ หมู่เกาะและสะพานไม้ที่ถูกล้อมรอบไปด้วยพุ่มไม้และต้นไม้ใหญ่ที่สวยงาม รวมถึงที่นี่ยังมีศาลาที่เคยใช้ในการจัดงานอภิเษกสมรสของจักรพรรดิโชวะอีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้น ที่นี่ยังถูกจัดแต่งให้เป็นสวนในแบบต่างๆ ทั้งสวนฝรั่งเศส สวนอังกฤษ และสวนในเขตร้อน เป็นต้น ส่วนในช่วงฤดูใบไม้ร่วงก็มีผู้คนจำนวนมากเดินทางมาชมใบไม้เปลี่ยนสีที่มีอยู่หลากหลายสายพันธุ์โดยเฉพาะต้นเมเปิ้ลเที่มีอยู่มากมายภายในสวนสาธารณะชินจูกุแห่งนี้
How to get there: จากสถานีชินจูกุ ใช้เวลาเดินเท้าเพียง 10 นาทีไปทางทิศตะวันออกก็จะเจอเข้ากับสวนสาธารณะชินจูกุแล้ว


ภูเขาทาคาโอะ

 

ภูเขาทาคาโอะตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของกรุงโตเกียว ที่นี่ถือเป็นสถานที่เดินป่าที่ค่อนข้างวุ่นวายโดยเฉพาะในฤดูใบไม้ร่วงที่ได้รับความนิยมทั้งจากนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติ ซึ่งในระยะทาง 599 เมตรจากตีนเขาจนถึงยอด นักท่องเที่ยวที่มาเยือนจะได้มีโอกาสเห็นฝูงลิงป่าญี่ปุ่นนับร้อยๆ ตัวในอุทยานลิง ต้นไม้ใหญ่และดอกไม้ป่ากว่า 500 ชนิด และเมื่อขึ้นไปถึงยอดเขา ก็จะมองเห็นต้นไม้หลากสีสันกระจายไปทั่วภูเขาทั้งลูก ทั้งสีส้ม สีแดง สีเหลือง ฯลฯ หรือหากใครเดินป่าไม่ไหว ที่นี่ก็มีเคเบิลคาร์ให้บริการด้วยเช่นกัน 
How to get there: นั่งรถไฟด่วนจากสถานีรถไฟใต้ดินเคโอชินจูกุซึ่งรถไฟจะออกในทุกๆ 20 นาที โดยใช้เวลาประมาณ 50 นาที ก็จะมาถึงสถานีทาคาโอะซังกูจิที่ตั้งอยู่ตีนเขาแล้ว โดยมีค่าใช้จ่ายต่อเที่ยวอยู่ที่ 390 เยน หรือนั่งรถบัสจากสถานี JR Kyoto โดยรถบัสจะออกในทุกๆ 20-30 นาที และมีค่าใช้จ่ายต่อเที่ยว 520 เยน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 50 นาที

สวนสาธารณะโชวะ คิเนน

 

เมื่อพูดถึงสถานที่สำหรับชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ตั้งอยู่ในกรุงโตเกียว สวนสาธารณโชวะ คิเนนก็เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาดเช่นกัน ด้วยจุดเด่นคือเส้นทางเดินต้นแปะก๊วยที่ถูกปลูกเรียงกันเป็นแนวสวยตั้งแต่ทางเข้าหลักจะพากันเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองยาวเหยียดจนกระทั่งถึงลานน้ำพุกลางสวน  นับเป็นภาพประทับใจที่ใครๆ มาเห็นก็ต่างลืมไม่ลงกันเลยทีเดียว ซึ่งโชวะ คิเนนนี้เป็นสวนขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับสถานีรถไฟทาจิคาวะในภาคตะวันตกของโตเกียว 
How to get there: นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปยังสวนสาธารณะโชวะ คิเนนโดยรถไฟสาย JR Chou จากสถานีชินจูกุไปยังสถานีทาจิคาวะโดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที



วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

6 สิ่งควรรู้ ก่อนเดินทางเที่ยวพม่ารับปีใหม่

หลังจากเปิดประเทศอย่างเป็นการเมื่อปี 2011 ที่ผ่านมา ทำให้พม่าในวันนี้กลายเป็นประเทศที่น่าจับตามองที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในเรื่องของการท่องเที่ยว ด้วยพม่านั้นเต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวทางศาสนาและวัฒนธรรมที่น่าสนใจและสวยงามไม่แพ้ชาติใดในโลก โดยเฉพาะ 5 มหาบูชาสถานที่ล้ำค่าของพม่า  ได้แก่ พระมหาเจดีย์ชเวดากอง มหาเจดีย์ชเวซิกอง พระมหาเจดีย์ชเวมอดอร์ พระมหามัยมุนี และพระธาตุอินทร์แขวน อย่างไรก็ตาม นอกจากแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามแล้ว สภาพแวดล้อม วิถีชีวิต นิสัยใจคอของชาวพม่า ก็เป็นสิ่งสำคัญอีกอย่างที่เราควรรู้ก่อนตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวยังประเทศแห่งนี้ ดังเช่นที่มัชรูมทราเวลนำมาฝากทุกท่านในวันนี้


อินเทอร์เน็ตสามารถใช้งานได้ แต่ค่อนข้างช้า

อันที่จริงระบบอินเทอร์เน็ตได้เข้าสู่ประเทศพม่าในช่วงปี 2000 แต่ก็มีราคาสูง และการเชื่อมต่อที่ค่อนข้างช้า เนื่องจากไม่ได้มีการใช้งานอย่างแพร่หลาย อีกทั้งรัฐบาลของพม่าในอดีตก็ยังปิดกั้นข้อมูลบางอย่างจากประชาชนชาวพม่า อย่างการบล็อกเว็บไซต์ยอดนิยมอย่าง Youtube และ Gmail เป็นต้น และเพิ่งจะปลดบล็อกเมื่อไม่นานมานี้เอง นอกจากนี้โทรศัพท์มือถือที่สามารถเชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ตได้ ก็ยิ่งห่างไกลจากความนิยมมากขึ้น นั่นก็เพราะราคาที่สูงกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกัน

แม้จะมีเงินมากมายแค่ไหน แต่ต้องแน่ใจว่าสะอาด

ที่พม่านั้นมีตู้เอทีเอ็มไม่มากมายนัก ดังนั้นนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมายังพม่า ควรแลกเงินที่คาดว่าจำเป็นต้องใช้ให้เพียงพอ นอกจากนั้นก็ควรแลกเงินในสกุลดอลลาร์สหรัฐ ไว้บ้างเป็นบางส่วน เพราะที่พม่านอกจากเงินในสกุลจ๊าตซึ่งเป็นเงินสกุลหลักของที่นี่แล้ว ตามร้านค้าต่างๆ เงินดอลลาร์สหรัฐก็สามารถใช้จ่ายเพื่อซื้อของได้ แต่ทั้งนี้คุณต้องแน่ใจว่าเงินที่แลกมานั้นต้องสะอาดไม่มีเศษคราบใดๆ ติดอยู่ แม้กระทั่งรอยปากกาขีดเขียน และต้องไม่มีรอยยับและรอยพับอีกด้วย มิเช่นนั้นเงินของคุณจะกลายเป็นสิ่งที่ไร้ค่าในประเทศพม่าทันที


หากได้ยินเสียงที่คล้ายกับเสียงจูบ นั่นหมายถึงคุณต้องการเบียร์ไหม

สำหรับสถานบันเทิงในพม่า เพื่อเป็นการเรียกร้องความสนใจจากผู้ใช้บริการหรือผู้คนทั่วไปที่เดินผ่าน เหล่าบริกรภายในร้านจะพากันส่งเสียงคล้ายเสียงจูบจุ๊บๆ ประมาณครั้งหรือสองครั้ง เพื่อเป็นการบอกกล่าวว่าที่นี่มีบริการเบียร์นะ คุณต้องการไหม? โดยเฉพาะในเมืองย่างกุ้งบริเวณย่านไชน่าทาวน์ยามค่ำคืน นักท่องเที่ยวที่เดินผ่านจะได้ยินเสียงเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้เบียร์พม่านั้นมีราคาที่ถูกมาก คือราคาประมาณ 60 เซ็นต์ต่อเหยือกเท่านั้น 

โรงแรมในพม่ามีราคาแพง

หากใครมีโอกาสเดินทางไปเที่ยวพม่าเมื่อปี 2011 หลังจากที่พม่าเปิดประเทศใหม่ๆ นั้น จะเห็นว่าห้องพักภายในโรงแรมมีราคาที่ถูกมาก คือประมาณคืนละ 25 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น แต่ปัจจุบันราคาห้องพักในพม่าพุ่งสูงขึ้นถึง 350% เลยทีเดียว สาเหตุก็เนื่องมาจากจำนวนนักธุรกิจและนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่หลั่งไหลเข้าไปในพม่านั่นเอง ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาของอุปสงค์และอุปทาน ทั้งนี้ปัญหาอย่างหนึ่งที่ผู้ประกอบการในพม่าต้องเร่งแก้ไขก็คือ การเพิ่มและขยายกิจการโรงแรมและห้องพักให้เพียงพอต่อจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าสู่พม่าในอนาคตนั่นเอง


5. วัฒนธรรมเรื่องอาหารของชาวพม่า

อาหารของชาวพม่าประกอบไปด้วยข้าวนึ่ง ปลา เนื้อสัตว์ ผัก และน้ำซุป โดยอาหารทั้งหมดจะถูกเสิร์ฟเป็นชุดในเวลาเดียวกัน โดยมาพร้อมกับเครื่องปรุงรสชนิดต่างๆ นอกจากนี้ในฐานะที่ชาวพม่าส่วนใหญ่ค่อนข้างเคร่งครัดในพุทธศาสนา พวกเขาจึงไม่นิยมรับประทานเนื้อวัวกัน ส่วนวิธีการรับประทานนั้น ชาวพม่าจะปั้นข้าวเป็นลูกกลมๆ เล็กแล้วกินกับอาหารชนิดอื่นๆ ซึ่งการใช้มือหยิบจับอาหารจะใช้เฉพาะมือข้างขวาเหมือนกับการหยิบจับเงินเพื่อใช้จ่าย เนื่องจากเป็นเรื่องที่หยาบคายมากหากมีใครรับประทานด้วยมือซ้าย เพราะมือซ้ายถือเป็นมือที่ใช้สำหรับสุขอนามัยส่วนบุคคลเท่านั้น 

6. หลีกเลี่ยงการเดินทางโดยรถไฟในพม่า

หากเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกัน รถไฟในประเทศพม่าอาจเรียกได้ว่าด้อยคุณภาพมากที่สุดก็ว่าได้ ทั้งความแออัด เส้นทางรถไฟ สภาพรถไฟ และระยะเวลาในการเดินทางที่มีชื่อเสียงว่าช้าที่สุด ยกตัวอย่างเช่นการเดินทางจากกรุงย่างกุ้งสู่เมืองมัณฑะเลย์ในระยะทาง 643.3 กิโลเมตร ซึ่งหากคุณนั่งรถไฟจะต้องใช้เวลาเดินทางมากถึง 16 ชั่วโมงเลยทีเดียว ดังนั้นหากนักท่องเที่ยวที่ไปเยือนพม่า แนะนำให้ใช้การเดินทางโดยเครื่องบินจะสะดวกสบายที่สุด  อย่างไรก็ดี คนพม่าจำนวนมากนิยมเดินทางด้วยรถไฟ เนื่องจากมีราคาถูกมากเมื่อเทียบกับการเดินทางโดยรถยนต์หรือเครื่องบินนั่นเอง