วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ E-Ticket สำหรับการโดยสารทางเครื่องบิน

หากเอ่ยถึง E-Tickets หรือตั๋วอิเล็กทรอนิกส์ สำหรับผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับด้านนี้โดยตรง หรือผู้ที่ใช้บริการสายบินอยู่เป็นประจำคงทราบกันดีว่า E-Tickets หรือตั๋วอิเล็กทรอนิกส์นั้นถูกออกแบบขึ้นโดยมีจุดประสงค์เพื่ออะไร รวมทั้งวิธีการใช้งาน เป็นต้น แต่สำหรับผู้ที่ไม่คุ้นชินกับการโดยสารทางเครื่องบินมากนัก ก็อาจจะไม่มีความรู้เกี่ยวกับสิ่งนี้เลย หรืออาจจะรู้แค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น วันนี้มัชรูมทราเวลจึงนำเรื่องราวของ E-Tickets มาเผยแพร่เป็นความรู้แก่ทุกท่าน เพื่อที่ท่านจะได้รู้จักกับ E-Tickets หรือตั๋วอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น

E-Tickets หรือตั๋วอิเล็กทรอนิกส์นั้นถูกนำมาทดลองใช้ในอุตสาหกรรมการบินพาณิชย์ในช่วงต้นยุค 90 และจากนั้นอีกสิบปีต่อมา ตั๋วอิเล็กทรอนิกส์ก็เข้ามาแทนที่ตั๋วกระดาษมากขึ้น เนื่องจากความสะดวกในการใช้งานด้วยการจองตั๋วผ่านอินเตอร์เน็ต รวมถึงการส่งตั๋วสู่ผู้บริโภคทันทีทางอีเมล โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปซื้อตั๋วกับตัวแทนจำหน่ายของสายการบินถึงสำนักงานหรือสนามบิน และนั่นก็ทำให้ผู้บริโภคมีความสะดวกสบายมากขึ้น และยังช่วยประหยัดเวลารวมถึงช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปซื้อตั๋วอีกด้วย



E-Tickets หรือตั๋วอิเล็กทรอนิกส์คืออะไร
E-Tickets หรือตั๋วอิเล็กทรอนิกส์เป็นโหมดการใช้งานที่โดดเด่นของการจัดจำหน่ายตั๋วของสายการบินในปัจจุบัน โดยหลังจากที่ผู้บริโภคทำการจองและซื้อตั๋วออนไลน์ผ่านทางอินเตอร์เน็ตเสร็จเรียบร้อยแล้ว สายการบินสามารถออกหมายเลขของตั๋ว และชื่อในการสำรองตั๋วให้ท่านได้ทันที อีกทั้งข้อดีที่สำคัญที่สุดของการใช้ E-Tickets หรือตั๋วอิเล็กทรอนิกส์ก็คือ ไม่ต้องกังวลว่าจะทำตั๋วหาย หรือลืมทิ้งไว้ที่บ้าน เพราะข้อมูลการจองตั๋วของท่านจะยังคงปลอดภัยอยู่ในระบบของสายการบิน และสามารถนำออกมาใช้ได้ทันทีผ่านการเชื่อมต่อทางอินเตอร์เน็ต


 


วิธีการจอง และการใช้งาน E-Tickets สำหรับการโดยสารทางอากาศ
ปัจจุบัน E-Ticket กลายเป็นมาตรฐานในโลกของสายการบินพาณิชย์ไปเสียแล้ว อีกทั้งยังกลายเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคส่วนใหญ่ อันเนื่องมาจากความสะดวกสบายในการเก็บรักษา ที่ไม่ต้องกลัวว่าจะทำตั๋วสูญหาย รวมทั้งการเช็คอินขึ้นเครื่องที่ง่ายดาย และผู้โดยสารสามารถทำได้ผ่านทางอินเตอร์เน็ตทุกที่ทุกเวลา โดยเฉพาะบรรดานักธุรกิจทั้งหลายที่ต้องมีการเดินทางอยู่ตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม สำหรับการใช้  E-Ticket ทุกครั้ง ผู้โดยสารจะต้องมีการยืนยันการจองด้วยรหัสที่ถูกต้องเสมอ

โดยขั้นตอนการจอง E-Ticket หรือตั๋วอิเล็กทรอนิกส์ออนไลน์ และการใช้งานมีวิธีการง่ายๆ ดังต่อไปนี้
1. เปิดเว็บไซต์ของสายการบินที่คุณต้องการ หรือเว็บตัวแทนจำหน่าย (ซึ่งมีราคาต่ำกว่าการจองผ่านสายการบินโดยตรง) เพื่อทำการจองออนไลน์ โดยกรอกข้อมูลเพื่อยืนยันตัวตนของคุณให้ถูกต้อง พร้อมกับอีเมลที่ใช้งานได้จริง เพราะตั๋วของคุณจะถูกส่งมายังอีเมลที่คุณให้ข้อมูล
2. หลังจากจองตั๋วเรียบร้อยแล้ว ให้ตรวจสอบอีเมลของคุณว่าตั๋วถูกส่งมายังอีเมลของคุณหรือไม่
3. เมื่อใกล้ถึงกำหนดการเดินทาง ให้เข้าสู่ระบบเว็บไซต์ของสายการบินอย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนเวลาบิน จากนั้นใส่ล็อกอินและพาสส์เวิร์ดที่ยืนยันการซื้อตั๋วเครื่องบินของคุณ
4. ทำการเช็คอินสำหรับเที่ยวบินของคุณ จากนั้นให้พิมพ์ตั๋วของคุณผ่านเครื่องพริ้นท์เมื่อเสร็จแล้ว
5. ตรงไปที่จุดตรวจเช็คกระเป๋าภายในสนามบินหากคุณมีกระเป๋าเดินทางที่ต้องการโหลดใต้เครื่อง
6. แสดง E-Ticket หรือตั๋วอิเล็กทรอนิกส์ของคุณเพื่อยืนยันตัวตน

หรือถ้าหากคุณไม่ถนัดในการเช็คอินออนไลน์ ก็สามารถเช็คอินผ่านเคาน์เตอร์ของสายการบินนั้นๆ ได้ ณ ท่าอากาศยาน ดังนี้
1. พิมพ์อีเมลยืนยันการจองที่คุณได้รับผ่านเครื่องพริ้นท์ หรือเขียนรหัสการจองลงบนแผ่นกระดาษ
2. ไปที่สนามบินแล้วตรงไปยังเคาน์เตอร์ของสายการบินที่คุณทำการจอง เพื่อเช็คอินเที่ยวบินของคุณ
3. ยื่นเอกสารการจองของคุณให้เจ้าหน้าที่ หรือให้รหัสยืนยันการจองของคุณเพื่อทำการเช็คอินกับพนักงานของสายการบิน พร้อมด้วยพาสปอร์ตหรือบัตรประชาชนของตัวคุณเอง ซึ่งบางสายการบินอาจให้ผู้โดยสารเช็คอินผ่านตู้อัตโนมัติ และสามารถพิมพ์บอร์ดดิ้งพาสของตัวเองได้เลย

เห็นไหมล่ะคะว่าปัจจุบันการจองตั๋วออนไลน์ รวมทั้งการใช้ E-Ticket หรือตั๋วอิเล็กทรอนิกส์นั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย อีกทั้งยังสะดวกสบาย ที่สำคัญยังช่วยคุณประหยัดเงิน และเวลาได้ด้วย  ส่วนในตอนต่อไป “มัชรูมทราเวล” จะพาท่านไปเจาะลึกในเรื่องของบอร์ดดิ้งพาสและการเช็คอินค่ะ 

จองตั๋วเครื่องบินราคาถูก

วันจันทร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2556

รู้ไว้ไม่เสียหลาย...หากได้ไปเยือนจีน


จากครั้งที่แล้ว “มัชรูมทราเวล” ได้นำเสนอ 8 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของจีนที่คุณไม่ควรพลาดไปแล้ว ซึ่งผู้ที่กำลังตัดสินใจหรือกำลังวางแผนที่จะไปหาประสบการณ์การท่องเที่ยวใหม่ๆ ในจีน ก็คงจะวางแผนการได้แล้วว่าคุณจะต้องไปที่ไหนบ้าง ครั้งนี้เราเลยมีคำแนะนำที่สำคัญบางอย่างเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในประเทศจีนมาฝาก เนื่องจากจีนเป็นหนึ่งในประเทศที่มีภาษาที่ยากที่สุดในการสื่อสารและเรียนรู้ อีกทั้งยังมีความแตกต่างกันในแต่ละท้องถิ่น อย่างเช่น จีนกลาง จีนกวางตุ้ง เป็นต้น ดังนั้นบทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับนิสัยบางอย่างของคนจีน รวมทั้งสิ่งที่ควรทำและสิ่งที่คุณไม่ควรทำในประเทศแห่งนี้ เพื่อที่ว่าคุณจะได้ท่องเที่ยวอย่างมีความสุข และผูกมิตรกับคนท้องถิ่นได้อย่างง่ายดาย รวมทั้งสามารถหลีกเลี่ยงกับบางสิ่งที่อาจจะทำให้คุณรู้สึกอึดอัด หงุดหงิดหรือไม่สบายใจที่จะทำให้ทริปการท่องเที่ยวของคุณกร่อยได้




1. เช็คแฮนด์ด้วยสองมือ
เราคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า การทักทายด้วยการจับมือนั้นถือเป็นธรรมเนียมสากลที่มีการปฏิบัติกันทั่วโลก แต่หากคุณต้องเดินทางไปประเทศจีน ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางเพื่อธุรกิจหรือการท่องเที่ยวก็ตาม หากมีโอกาสได้ทำความรู้จักกับใครสักคน การทักทายที่เรียกว่าการเชคแฮนด์อย่างที่เคยชินอาจไม่เพียงพอสำหรับที่นี่ เพราะวิธีทักทายที่ถูกต้องสำหรับธรรมเนียมจีนก็คือ คุณต้องใช้มือทั้งสองข้างกุมไปที่มือของอีกฝ่ายพร้อมกับเขย่าไปด้วยในขณะที่คุณแนะนำตัวเองให้อีกฝ่ายรู้จัก เพียงแค่นี้ก็สามารถสร้างความประทับใจเมื่อแรกพบได้แล้ว


2. ไม่เรียกชื่อต้นหากเพิ่งรู้จัก
แน่นอนว่าคนจีนนั้นมีชื่อและนามสกุลเหมือนกับคนในประเทศอื่นๆ แต่ในประเทศจีนการใช้ชื่อและนามสกุลจะแตกต่างตรงที่พวกเขาจะใช้นามสกุลน้ำหน้าชื่อก่อนเสมอ อย่างเช่นหากมีใครแนะนำให้คุณรู้จักกับหลิวเต๋อหัว นั่นแสดงว่าเขามีชื่อว่าเต๋อหัว และนามสกุลหลิว แต่คุณต้องทักทายเขาในนามของมิสเตอร์หลิวเท่านั้น เพราะการเรียกชื่อต้นสำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยในประเทศจีนนั้นถือว่าเสียมารยาทเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากคนจีนจะเรียกชื่อแรกกันเฉพาะภายในสมาชิกของครอบครัว รวมทั้งเพื่อนสนิทเพียงไม่กี่คนเท่านั้น


3. ห้ามดื่มก่อนเจ้าภาพ
สำหรับวัฒนธรรมการกิน ของจีนนั้น แน่นอนว่าสิ่งที่จะขาดไม่ได้ภายในโต๊ะอาหารมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็คือสุรา ซึ่งถ้าหากเป็นปัจจุบันก็คงเหมารวมเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ทุกชนิด ซึ่งหากคุณมีโอกาสได้เข้าร่วมงานเลี้ยงในประเทศจีน ไม่ว่าจะเป็นงานเล็กหรืองานใหญ่ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ควบคู่ไปกับมื้ออาหารคงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก แต่กระนั้นคุณต้องจำไว้เสมอว่า จะต้องดื่มก็ต่อเมื่อเจ้าภาพหรือผู้ใหญ่เชื้อเชิญเท่านั้น ห้ามยกแก้วหรือจอกขึ้นดื่มเองโดยลำพังเป็นอันขาด รวมทั้งต้องไม่ดื่มครั้งเดียวหมดแก้ว แต่ให้ค่อยๆ จิบแทน ซึ่งเหตุผลจริงๆ ของธรรมเนียมนี้ก็เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เราดื่มมากเกินไปจนเมานั่นเอง


4. แย่งจ่ายหลังกินเสร็จ
คุณอาจรู้สึกตกใจหากเจอเหตุการณ์ความวุ่นวายเสียงดังจากโต๊ะหนึ่งโต๊ะใดภายในร้านอาหารหรือห้องอาหาร ขณะที่คุณอยู่ในประเทศจีน ซึ่งนั่นไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาทะเลาะหรือมีเรื่องชกต่อยกันแต่อย่างใด แต่วัฒนธรรมจีนนั้น เมื่อมีการเลี้ยงสรรสรรค์ภายนอกบ้าน หากมีใครเสนอตัวที่จะเป็นเจ้าภาพเลี้ยง คนที่เหลือบนโต๊ะจะไม่เพียงนั่งอยู่เฉยๆ หรือกล่าวคำว่าขอบคุณ แต่พวกเขาจะเข้าแย่งชิงการจ่ายค่าอาหารมื้อนั้น ซึ่งอาจจะถึงขั้นต่อสู้กัน โดยปราศจากอาวุธและความรุนแรง รวมถึงพยายามปัดเงินของคนที่ยื่นให้พนักงานออกไปเพื่อที่จะแย่งจ่ายเอง โดยการต่อสู้นี้เองที่ชาวจีนถือว่าเป็นมารยาทที่ดี มากกว่าการนั่งเป็นหัวหลักหัวตอในโต๊ะอาหาร ซึ่งผู้ที่สามารถเอาชนะ และ “จ่าย” ค่าอาหารมื้อนั้นก็จะได้รับความชื่นชมเป็นพิเศษ


5. ฝึกการใช้ตะเกียบให้ถูกต้อง
หากคุณมีโอกาสถูกรับเชิญไปร่วมรับประทานอาหารกับครอบครัวคนจีน แน่นอนว่าการใช้ตะเกียบคือสิ่งที่คุณจำเป็นต้องเรียนรู้ให้ถูกต้อง ซึ่งนอกเหนือไปจากการใช้ตะเกียบคีบเส้นก๋วยเตี๋ยว ถั่วงอก ลูกชิ้น อย่างที่เราเคยกระทำเป็นประจำ เนื่องจากตะเกียบนั้นถือว่ามีความสำคัญต่อชาวจีนมากกว่าการเป็นแค่อุปกรณ์หยิบจับอาหาร แต่ตะเกียบยังมีความสำคัญต่อขนบธรรมเนียมประเพณีอันเป็นรากฐานทางวัฒนธรรมของจีนมาตั้งแต่อดีตนับพันๆ ปี ดังนั้นพวกเขาจึงให้ความสำคัญต่อการใช้ตะเกียบเป็นอย่างมาก เช่น ห้ามวางตะเกียบสะเปะสะปะไม่เป็นระเบียบ ห้ามใช้ตะเกียบชี้หน้าผู้อื่น ห้ามอม ดูด หรือเลียตะเกียบ ห้ามใช้ตะเกียบเคาะถ้วยชาม ห้ามใช้ตะเกียบวนไปมาบนโต๊ะโดยไม่รู้ว่าจะคีบอะไรดี ห้ามใช้ตะเกียบคุ้ยอาหารในจาน ห้ามถือตะเกียบกลับข้าง ห้ามใช้ตะเกียบข้างเดียวเสียบลงบนอาหารหรือชามข้าว และห้ามทำตะเกียบตกพื้น เป็นต้น


6. ไม่ทำให้คนอื่นขายหน้าในที่สาธารณะ
สิ่งที่แย่ที่สุดที่คุณอาจทำให้คนจีนรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งก็คือ การพูดหรือแสดงอาการดูหมิ่นพวกเขาในที่สาธารณะ หรือแสดงอาการโกรธเกรี้ยวด้วยการตะคอกหรือตะโกนใส่หน้า แม้ว่าสาเหตุจะมาจากความผิดพลาดของอีกฝ่ายก็ตาม เพราะนั่นจะทำให้พวกเขารู้สึกเสียหน้า ซึ่งคนจีนจะรับไม่ได้และคิดว่าคุณกำลังเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติด้วยแล้ว อย่างไรก็ตาม สถานการณ์จะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที หากเปลี่ยนจากเหตุการณ์ความไม่พอใจเป็นการแสดงความขอบคุณ หรือการแสดงความชื่นชมพวกเขาต่อหน้าสาธารณชน เพราะสิ่งที่คุณจะได้รับกลับมา นั่นก็คือความเป็นมิตรและการต้อนรับที่อบอุ่นนั่นเอง


7. มอบของขวัญให้กันเสมอ
การมอบของขวัญให้แก่กันสำหรับวัฒนธรรมจีนนั้นไม่เพียงแค่เฉพาะในโอกาสพิเศษเท่านั้น แต่ทุกครั้งหากต้องไปเยี่ยมเยือน หรือมีการนัดหมายเพื่อพบเจอระหว่างเพื่อน ครอบครัว ผู้ร่วมธุรกิจ ฯลฯ การเตรียมของขวัญมามอบให้แก่กันโดยที่ไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าถือเป็นมารยาทที่ดี ทั้งยังเป็นการแสดงถึงมิตรภาพและความปรารถนาดีที่ต่างฝ่ายต่างมอบให้แก่กัน แม้ว่าของชิ้นนั้นจะเป็นเพียงของเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม และที่สำคัญคือ ผู้ที่ให้จะต้องไม่คุยโวถึงที่มาหรือราคาของของขวัญอย่างเด็ดขาด


และทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงบางส่วนของวัฒนธรรมจีนที่ “มัชรูมทราเวล” นำมาฝากกัน ซึ่งจีนยังมีข้อห้าม หรือประเพณีปฏิบัติอีกมากมายหลายอย่าง ซึ่งหากเราได้เรียนรู้ก็จะเป็นประโยชน์ต่อไปในอนาคต อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่าด้วยเสน่ห์ของรอยยิ้ม บวกกับความมีน้ำใจ และนิสัยอันอ่อนน้อมถ่อมตนของคนไทย คงเอาชนะใจใครๆ ได้ไม่ยาก

ทัวร์จีน

วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

8 Undiscovered Destinations in China!


ประเทศจีนเป็นประเทศที่กว้างใหญ่ไพศาล และมีความพิเศษคือมีภูมิประเทศที่ทอดยาวไปหลายพันไมล์ ตั้งแต่ทะเลทรายทางทิศตะวันตกไปจรดมหาสมุทรทางทิศตะวันออก ดังนั้นวัฒนธรรมจีนจึงเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ของโลกที่สำคัญไม่แพ้วัฒนธรรมของกรีก โรมัน อียิปต์ ฯลฯ อันรุ่งเรืองในอดีต รวมทั้งวัฒนธรรมจีนยังร่ำรวยด้วยอารยะธรรมที่หลากหลายผ่านวันเวลาที่ยาวนานมากว่า 5,000 ปี ซึ่งนี่ก็คืออีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญซึ่งทำให้ประเทศจีนสามารถดึงดูดนักเดินทางและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้หลั่งไหลสู่ประเทศจีนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันปีละหลายร้อยล้านคน

ดังนั้นมัชรูมทราเวลจึงอยากแนะนำ 8 สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังที่คุณไม่ควรพลาด หากมีโอกาสได้เดินทางสู่เส้นทางสายไหมที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมและอารยะธรรมที่ยิ่งใหญ่สายนี้สักครั้งในชีวิต แล้วคุณจะรู้ว่า ประเทศจีน... ครั้งเดียวคงไม่พอ

1. กำแพงเมืองจีน



กำแพงเมืองจีนเป็นกำแพงที่มีความยาวคดเคี้ยวข้ามประเทศจีนกว่า 6,700 กิโลเมตร โดยการก่อสร้างกำแพงแห่งนี้ได้เริ่มต้นในช่วง 2,000 ปีที่ผ่านมา และสิ้นสุดลงในช่วงปี ค.ศ. 1368 ซึ่งเป็นช่วงที่จีนอยู่ใต้การปกครองของราชวงศ์หมิง ส่งผลให้กำแพงเมืองจีนกลายเป็นโครงสร้างทางทหารที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งในความเป็นจริงกำแพงที่เชื่อมต่อเมืองจีนในบางช่วงบางตอนนั้นค่อนข้างมีความแตกต่างกัน เนื่องจากสร้างขึ้นในช่วงของการปกครองในแต่ละราชวงศ์ที่แตกต่างกัน รวมถึงขุนศึกที่ควบคุมการก่อสร้างในระยะหลายๆ ปีนั้นก็ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปตามระยะเวลา ทั้งนี้จุดประสงค์ในการก่อสร้างกำแพงเมืองจีนก็เพื่อใช้ป้องกันข้าศึกจากทางเหนือที่เข้ามารุกรานนั่นเอง

สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการชื่นชมความมหัศจรรย์ของกำแพงเมืองจีน ที่ที่เหมาะที่สุดคงหนีไม่พ้นปักกิ่ง เพราะสะดวกในการเดินทางมากที่สุด อย่างไรก็ตาม กำแพงเมืองจีนในแต่ละเมือง แต่ละมณฑลนั้นมีความสวยงามแตกต่างกัน ซึ่งไม่เพียงแต่ลักษณะของกำแพงเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงความงามของวิวทิวทัศน์รอบๆ บริเวณด้วย โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่นี่จะสวยงามและโรแมนติกเป็นพิเศษ เนื่องจากต้นไม้ใบหญ้าทั่วทั้งภูเขาลูกใหญ่อันเป็นฉากหลังของกำแพงเมืองจีนนั้นจะผลัดเปลี่ยนสีสัน จึงทำให้มีเสน่ห์แปลกตากว่าช่วงฤดูไหนๆ

2. พิพิธภัณฑ์สุสานทหารดินเผา จิ๋นซีฮ่องเต้


พิพิธภัณฑ์สุสานกองทัพดินเผาแห่งนี้ตั้งอยู่ในเมืองซีอาน ภายในมณฑลฉานซี ถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1974 โดยชาวนาในหมู่บ้านซีหยางที่ต้องการขุดดินเพื่อทำบ่อน้ำในบริเวณเชิงเขาหลีซางซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองซีอานไปทางทิศตะวันออกประมาณ 35 กิโลเมตร และบังเอิญพบกับซากของทหารดินเผาที่ทราบในภายหลังว่ามีอายุมากกว่า 2,000 ปี ต่อมารัฐบาลจีนจึงได้มีการสั่งขุดเพิ่มเติมและค้นพบวัตถุโบราณอันเป็นกองทัพทหารดินเผา พร้อมสรรพาวุธ รวมถึงรถม้าและม้าศึกเป็นจำนวนทั้งสิ้นกว่า 7,400 ชิ้น ภายในบริเวณพื้นที่กว่า 25,000 ตารางเมตร 

สำหรับกองทัพดินทหารดินเผาที่ถูกค้นพบ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นเพื่อเป็นการปกป้องสุสานของจักรพรรดิฉินซือหวง หรือที่คนไทยรู้จักกันดีในนาม “จิ๋นซีฮ่องเต้” จักรพรรดิผู้ก่อตั้งราชวงศ์ฉินนั่นเอง ซึ่งคาดว่าน่าจะเริ่มก่อสร้างในช่วงปี 246 ก่อนคริสตกาล และใช้เวลาการก่อสร้างยาวนานถึง 38 ปี จนกลายมาเป็นสุสานขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่รวมทั้งสิ้น 2,180 ตารางกิโลเมตร โดยแบ่งออกเป็นเขตพระราชฐานชั้นในและชั้นนอก ซึ่งภายในสุสานนอกจากจะบรรจุพระบรมศพของจักรพรรดิแล้ว ยังมีทรัพย์สมบัติต่างๆ ตลอดจนถึงกองกำลังทหาร นางสนม นางกำนัล รถม้า ขุนศึก และหมู่ทหารอีกจำนวนมาก โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้เป็นตัวแทนของข้าราชบริพาร ในการร่วมเดินทางไปยังปรโลกพร้อมกับพระจักรพรรดินั่นเอง ปัจจุบันพื้นที่ภายในบางส่วนที่ก่อสร้างจากหินนั้นยังคงได้รับการปิดผนึกไว้เป็นอย่างดี และยังคงสภาพเดิมเอาไว้ ทั้งนี้โครงสร้างของสุสานค่อนข้างมีความสลับซับซ้อน รวมถึงขนาดของสุสานก็ยังมีขนาดยิ่งใหญ่มโหฬารสมกับพระเกียรติของจักรพรรดิจีนผู้รวบรวมประเทศจีนให้เป็นปึกแผ่นผู้นี้
3. ทิวเขาเมืองหยางซั่ว


ทิวเขาเมืองหยางซั่วตั้งอยู่ทางภาคใต้ของประเทศจีนในมณฑลกวางสี อันเป็นทิวเขาที่สะท้อนให้เห็นถึงความมหัศจรรย์ของทัศนียภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจของภูเขาได้ดีที่สุด ซึ่งหากนักท่องเที่ยวท่านใดสนใจ สามารถเดินทางไปชมความงามนี้ได้ที่เมืองหยางซั่ว เมืองเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองกุ้ยหลินมากนัก ซึ่งการท่องเที่ยวโดยการล่องแพไม้ไผ่ในแม่น้ำหลีเจียงคือกิจกรรมที่ได้รับความนิยมมากที่สุด สำหรับผู้ที่ต้องการชื่นชมความงดงามของแนวทิวเขาเหล่านี้ โดยนอกจากจะได้เห็นความงามของแม่น้ำหลีเจียงที่เหมือนกับภาพวาดหมึกจีนอันคลาสสิกด้วยภาพของเนินเขาสีเขียวขจี และภาพของยอดไม้ไผ่ที่สะท้อนผ่านแม่น้ำใสแจ๋วดุจดังกระจกในระยะทาง 83 กิโลเมตรแล้ว ยังจะได้ชมความสวยงามอลังการของทัศนียภาพริมสองฟากฝั่งแม่น้ำแห่งนี้อีกด้วย

4. แม่น้ำแยงซี ช่องแคบชูถึงเสีย ช่องแคบอูเสีย และช่องแคบซีหลิงเสีย


แม่น้ำแยงซีหรือที่คนไทยคุ้นเคยกันในชื่อแม่น้ำแยงซีเกียง คือแม่น้ำที่ยาวที่สุดในทวีปเอเชีย รวมทั้งยังครองตำแหน่งอันดับ 3 ของโลก ด้วยความยาวถึง 6,300 กิโลเมตร โดยต้นน้ำนั้นอยู่ที่เทือกเขาแทงกูล่าในมณฑลชิงไห่และทิเบตทางภาคตะวันตกตอนกลางของจีน ก่อนจะไหลไปทางภาคตะวันออกเฉียงใต้และหันเหทิศทางไปที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก ภาคใต้ ภาคกลาง และภาคตะวันออกกลาง และสุดท้ายจึงไหลออกสู่ทะเลทางภาคตะวันออกของจีนซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับเซี่ยงไฮ้ 

นอกจากนั้นแม่น้ำแยงซีและช่องแคบทั้งสาม ซึ่งได้แก่ ช่องแคบชูถึงเสีย ช่องแคบอูเสีย และช่องแคบซีหลิงเสียนั้นได้รับการยกย่องว่าเป็นจุดชมวิวที่งดงาม ทั้งยังมีความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติจนยากจะหาใครเทียบ ไม่เพียงเท่านั้น ความน่าสนใจของแม่น้ำสายนี้ยังรวมไปถึงประเพณีพื้นบ้านที่น่าตื่นตาตื่นใจและคงความเก่าแก่มาแต่โบราณของหมู่บ้านต่างๆ ตลอดความยาวของสองฟากฝั่งแม่น้ำแยงซี ก็เป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ที่ทำให้การล่องเรือสำราญบนแม่น้ำสายนี้เป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะนอกจากนักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับความอัศจรรย์ของช่องแคบทั้งสาม รวมถึงวิถีชีวิตของชนพื้นเมืองดังที่ได้กล่าวไว้ในข้างต้นแล้ว ก็ยังจะได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของเขื่อนสามผาที่ได้ชื่อว่าเป็นเขื่อนที่ใหญ่ที่สุดในโลกในระยะใกล้อีกด้วย

5. หุบเขาจิ่วไจ้โกว 


หุบเขาจิ่วไจ้โกวเป็นหุบเขาที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ในบริเวณทางเหนือของมณฑลเสฉวนอันเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาหมิงซานตอนใต้ ซึ่งอยู่ในเขตการปกครองตนเองของชนเผ่าเชียงหรือชนชาติทิเบต โดยมีพื้นที่ครอบคลุมกว่า 720 ตารางกิโลเมตรท่ามกลางหุบเขาที่ทอดตัวคดเคี้ยวไปมาผ่านหน้าผาสูงชัน ทะเลสาบสีสันสดใส และน้ำตกขนาดใหญ่ที่มีหลายระดับ จนก่อเกิดเป็นทิวทัศน์ที่งดงามตระการตา นอกจากนั้นในบริเวณรอบๆ ยังเต็มไปด้วยผืนป่าทึบที่จะเปลี่ยนสีสันไปตามแต่ละฤดูกาลตลอดทั้งปี รวมถึงเทือกเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลนในช่วงฤดูหนาวอันยาวนาน จนทำให้หุบเขาจิ่วไจ้โกวถูกประกาศให้เป็นอีกหนึ่งมรดกโลกที่สำคัญของจีนในปี ค.ศ. 1992 เป็นต้นมา

6. พระราชวังโปตาลา 


พระราชวังโปตาลาตั้งอยู่บนเนินเขาใจกลางเมืองลาซา เมืองหลวงของเขตปกครองตนเองทิเบต ถูกสร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 7 ในสมัยของกษัตริย์ซรอนซันกัมโป กษัตริย์องค์ที่ 32 แห่งราชวงศ์ถู่ฟาน และท่านยังเป็นปฐมกษัตริย์แห่งจักรวรรดิทิเบตอีกด้วย ซึ่งโครงสร้างของวังแห่งนี้ส่วนใหญ่ใช้หินและไม้เป็นหลัก ส่วนตัวกำแพงนั้นก่อด้วยหินแกรนิตเพื่อเพิ่มความคงทนแข็งแรงให้กับตัวอาคาร ต่อมาเมื่อราชวงศ์ถู่ฟานล่มสลาย พระราชวังจึงถูกทิ้งร้าง กระทั่งองค์ดาไลลามะที่ 5 ทรงมีดำริให้บูรณะขึ้นใหม่เพื่อใช้เป็นสถานที่ว่าราชการ และใช้เป็นที่ประทับ จากนั้นได้เปลี่ยนชื่อของพระราชวังเป็น “พระราชวังโปตาลา” และนับแต่นั้นเป็นต้นมา พระราชวังแห่งนี้ก็ได้กลายเป็นศูนย์รวมอำนาจทางการเมืองและศาสนาของทิเบตกระทั่งปัจจุบัน


ทั้งนี้องค์ดาไลลามะยังมีพระบัญชาให้ต่อเติมวังขึ้นในลักษณะเป็นวังซ้อนวัง โดยพระราชวังภายนอกเป็นอาคารสูง 7 ชั้น หันหน้าไปทางทิศใต้ มีชื่อเรียกว่าวังขาวเนื่องจากทาสีขาวเอาไว้ สร้างเสร็จเมื่อปี ค.ศ. 1648 โดยองค์ดาไลลามะใช้เป็นที่ทรงงานและดูแลบริหารบ้านเมืองรวมถึงพระศาสนา ส่วนพระราชวังชั้นในนั้นมีชื่อว่าวังแดง เนื่องจากทาผนังด้วยสีแดง สร้างภายหลังวังขาวประมาณ 50 ปี แบ่งออกเป็นทั้งหมด 6 ชั้น ซึ่งที่นี่ถูกใช้เป็นที่ประดิษฐานองค์สถูปขององค์ดาไลลามะ รวมถึงใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาด้วย และเพราะสาเหตุที่พระราชวังโปตาลานั้นถือได้ว่าเป็นสถาปัตยกรรมที่มีความสวยงามและล้ำค่า จึงทำให้ที่นี่ถูกรับรองให้เป็นมรดกของโลกอีกหนึ่งแห่งในปี 1994

7. เดอะบันด์ เซี่ยงไฮ้

เดอะบันด์ตั้งอยู่ในบริเวณปลายถนนหนานจิง ใจกลางเมืองเซี่ยงไฮ้ ซึ่งที่นี่ถือว่าเป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่หลงใหลในงานศิลปะและสถาปัตยกรรมแบบยุคเก่า เนื่องจากเดอะบันด์เป็นย่านที่เต็มไปด้วยอาคารเก่าแก่มากมาย อันเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงประวัติศาสตร์และความเจริญของแผ่นดินแห่งนี้ที่มีมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นอาคาร SBC ที่สร้างมาตั้งแต่ปี 1923 โดยในช่วงเวลานั้นอาคารแห่งนี้ถือได้ว่าเป็นอาคารที่หรูหราที่สุดที่ตั้งอยู่ระหว่างคลองสุเอซและช่องแคบแบริ่ง นอกจากนั้นอาคารต่างๆ ที่ตั้งอยู่โดยรอบก็มีทั้งงานสถาปัตยกรรมแบบโกธิค โรมัน บาโร้ก ฯลฯ ปัจจุบันเดอะบันด์คือสัญลักษณ์ของนครเซี่ยงไฮ้ที่ได้รับการขนานนามจากทั่วโลกว่าเป็นนิทรรศกาลสถาปัตยกรรมนานาชาติ ฉะนั้นเราจึงไม่อยากให้คุณพลาดสถานที่แห่งนี้ หากคุณได้มีโอกาสไปเยือนนครเซี่ยงไฮ้

8. พระราชวังต้องห้าม 


พระราชวังต้องห้ามหรือพิพิธภัณฑ์พระราชวัง ตั้งอยู่บริเวณใจกลางกรุงปักกิ่ง เหนือจัตุรัสเทียนอันเหมิน ซึ่งสถานที่นี้แต่เดิมเป็นที่ตั้งของพระราชวังหลวงของราชวงศ์หยวนแห่งมองโกล ต่อมาเมื่อราชวงศ์หยวนล่มสลาย ก็เปลี่ยนเป็นราชวงศ์หมิงที่ครองแผ่นดินจีน จักรพรรดิพระองค์แรกของราชวงศ์หมิงจึงมีดำริให้ย้ายเมืองหลวงจากปักกิ่งไปนานกิงและรับสั่งให้รื้อถอนพระราชวังเดิมออก จนกระทั่งเมื่อพระราชโอรสของพระองค์ได้ขึ้นครองราชย์ จึงได้ย้ายเมืองหลวงกลับมาที่ปักกิ่งอีกครั้ง และรับสั่งให้ก่อสร้างพระราชวังขึ้นมาใหม่ในปี พ.ศ. 1949 โดยมีพื้นที่ทั้งหมด 720,000 ตารางเมตร 

หลังจากที่พระราชวังต้องห้ามเสร็จสมบูรณ์ในช่วง 500 กว่าปีการครองราชย์ของราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง ที่นี่เคยเป็นที่ประทับขององค์จักรพรรดิจีนมากถึง 24 พระองค์ ทั้งยังเป็นศูนย์กลางของอำนาจสูงสุดและการว่าราชการในทั้งสองราชวงศ์อีกด้วย จึงทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่ที่รวมเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของราชสำนักของราชวงศ์ทั้งสอง และยังรวมไปถึงการเคลื่อนไหวของจักรพรรดิและพระมเหสี ระบอบชนชั้น การต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจ และการเซ่นไหว้บูชาทางศาสนา โดยทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นภายในสถานที่แห่งนี้ทั้งสิ้น ดังนั้นพระราชวังต้องห้ามที่เราเห็นในปัจจุบันนี้จึงมีความสำคัญมากกว่าการเป็นเพียงสถานที่ที่องค์จักรพรรดิของจีนใช้เป็นที่ประทับในอดีตเท่านั้น

วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ไทยไลอ้อนแอร์ทุ่มงบเปิดตัวแรง ประเดิมตั๋วบินเริ่มต้น 400 บาท!!

เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2556 ที่ผ่านมา สายการบินไทยไลอ้อนแอร์ น้องใหม่แห่งธุรกิจสายการบินต้นทุนต่ำของไทยรายล่าสุด ซึ่งเกิดจากการร่วมทุนระหว่างสายการบินไลอ้อนแอร์ ประเทศอินโดนีเซีย  และกลุ่มนักธุรกิจชาวไทย จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวอย่างเป็นทางการท่ามกลางกองทัพนักข่าวและแขกผู้มีเกียรติที่ต่างตบเท้าเข้าแสดงความยินดีอย่างคับครั่ง ณ โรงแรมรามาดาพลาซา แม่น้ำ ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ โดยประเดิมเที่ยวบินแรก เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ในวันที่ 4 ธันวาคมนี้

กัปตันดาร์สิโต เฮนโดร เซปูโตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทยไลอ้อนแอร์ เปิดเผยผ่านผู้สื่อข่าวว่า สายการบินไทยไลอ้อนแอร์จะเริ่มให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 4 ธันวาคมศกนี้ โดยเส้นทางแรกที่เปิดให้บริการคือเส้นทางระหว่างดอนเมือง-เชียงใหม่ วันละ 2 เที่ยวบิน นอกจากนั้นยังจะเปิดให้บริการเส้นทางไปยังกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย และเมืองจาร์กาตา ประเทศอินโดนีเซีย โดยกำลังอยู่ในระหว่างขั้นตอนของการดำเนินการขออนุญาตสิทธิการบิน ซึ่งคาดว่าจะเริ่มบินภายในเดือนธันวาคมนี้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้กัปตันดาร์สิโตยังได้เผยถึงตัวเลขของงบประมาณในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ ซึ่งใช้ต้นทุนสูงถึง 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ พร้อมกับชูนโยบาย “อิสระในการบิน” เพื่อให้ไทยไลอ้อนแอร์เป็นหนึ่งในทางเลือกที่คุ้มค่าและลดภาระค่าใช้จ่ายสำหรับประชาชนทั่วไปที่ใช้บริการ เนื่องจากสายการบินมีนโยบายยกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมน้ำมัน และยังสามารถเช็คอินกระเป๋าสัมภาระได้ฟรีอีก 15 กิโลกรัม

สำหรับเที่ยวบินปฐมฤกษ์ของสายการบินไทยไลอ้อนแอร์ที่จะเปิดให้บริการในช่วงต้นเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ กัปตันดาร์สิโตประกาศราคาค่าโดยสารเริ่มต้นที่ 400 บาท รวมถึงสายการบินยังมีนโยบายที่จะทำให้กรุงเทพฯ กลายเป็นศูนย์กลางทางด้านการบินด้วยราคาโดยสารที่ถูกเกินคาดทั้งเที่ยวบินภายในประเทศ และเที่ยวบินระหว่างประเทศ อย่างเช่นราคาตั๋วระหว่างดอนเมืองและกัวลาลัมเปอร์ที่มีราคาเริ่มต้นเพียงแค่ 200 บาท เป็นต้น ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถจองตั๋วผ่าน mushroomtravel.com ได้เร็วๆ นี้ โดยติดตามข่าวได้ที่ http://www.mushroomtravel.com หรือที่ www.facebook.com/mushroomtravel หรือโทรสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 0-2105-6234 








วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2556

10 Best New Year's Countdown Celebrations


เทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ถือเป็นเทศกาลแห่งความสุขที่มีธรรมเนียมปฏิบัติเหมือนกันทั่วโลก นั่นก็คือการเฉลิมฉลองที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น สวยงาม และเพลิดเพลิน ซึ่งแต่ละประเทศก็จะระดมเงินทุน และสมองเพื่อให้การจัดงานเฉลิมฉลองการส่งท้ายปีเก่าหรือที่เรียกว่างานเคาท์ดาวน์นั้นออกมาน่าสนใจ อลังการ และมีจุดขายอันเป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากประเทศอื่นๆ มากที่สุด โดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้มาเที่ยวในประเทศของตัวเองมากขึ้น เพราะนั่นหมายถึงเม็ดเงินมหาศาลที่จะหลั่งไหลเข้าสู่ประเทศในช่วงเทศกาลอันสำคัญนี้ และอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าเทศกาลแห่งความสุขอันยิ่งใหญ่นี้ก็จะหมุนเวียนมาสู่มนุษยชาติอีกครั้ง ดังนั้น Mushroom Travel ไม่รอช้า รีบเสาะหา 10 เมืองใหญ่ที่ดีที่สุดสำหรับการเคาท์ดาวน์มาฝากทุกท่าน เผื่อว่าท่านใดที่ยังไม่ได้วางแผนการสำหรับเทศกาลปีใหม่ที่จะถึงนี้ ก็จะได้นำข้อมูลของเราไปประกอบการตัดสินใจว่าธีมการเค้าท์ดาวน์ของเมืองไหนที่น่าสนใจสำหรับท่าน

Time to Dream at Sydney Harbour - Sydney, Australia


นับว่าเป็นความโชคดีของชาวออสซี่ที่มีโอกาสได้สัมผัสกับพระอาทิตย์แรกของปีใหม่ก่อนใครเพื่อน ดังนั้นจึงเป็นธรรมเนียมของดินแดนแห่งนี้ที่งานเฉลิมฉลองการส่งท้ายปีเก่าต้องอลังการงานสร้างเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองซิดนีย์ที่ถือได้ว่าเป็นเมืองสำคัญของประเทศ และเป็นจุดหมายปลายทางในอันดับต้นๆ ของโลกที่มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติอยากมาร่วมฉลองเทศกาลเคาท์ดาวน์มากที่สุด โดยจุดที่เหมาะสมในการรองรับผู้คนจากทั่วทุกสารทิศก็คือในบริเวณซิดนีย์ฮาร์เบอร์ ซึ่งจะถูกปรับเปลี่ยนเป็นเวทีสำหรับการแสดงขนาดใหญ่ โดยงานฉลองจะเริ่มตั้งแต่ช่วง 18.00 น. ไปจนถึงเวลาเที่ยงคืน กับโชว์ที่หลากหลาย ทั้งการแสดงดอกไม้ไฟ ขบวนพาเหรดอันตระกาลตา และการแสดงแสงเลเซอร์ คอนเสิร์ต เป็นต้น

City Of Lights in Paris, France


สำหรับการเฉลิมฉลองเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ในมหานครปารีส ธีมของการจัดงานของพวกเขาสื่อถึงชีวิตของชาวปารีสที่อาศัยอยู่ในเมืองแห่งแสงไฟ หรือ “City Of Lights” โดยตามถนนหนทางในเมืองทั่วทุกสาย รวมทั้งสถานที่สำคัญๆ ร้านอาหาร คลับ บาร์ ฯลฯ ก็จะตกแต่งด้วยแสงไฟสีต่างๆ ดูละลานตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณรอบๆ หอไอเฟล และในย่านถนนชองป์ส เอลิเซ่ ที่ผู้คนจำนวนมากจะมารวมตัวกัน ณ ที่แห่งนี้เพื่อรอชมดอกไม้ไฟที่จะถูกจุดขึ้นเหนือประตูชัยฝรั่งเศส และเมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนตรง ผู้คนก็จะทักทายสวัสดีปีใหม่กันด้วยการจูบแก้มอันเป็นธรรมเนียมของผู้คนที่นี่ นอกจากนั้นหากใครต้องการเปลี่ยนบรรยากาศ ปารีสก็ยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจอื่นๆ อีกมากมาย อย่างเช่นการล่องเรือดินเนอร์ในบรรยากาศโรแมนติกกลางแม่น้ำแซน เป็นต้น

New Year's Eve in Las Vegas, USA


เมื่อพูดถึงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ในอเมริกา คนส่วนใหญ่มักจะโฟกัสไปที่ย่านไทม์ สแควร์ มหานครนิวยอร์ค อันเป็นต้นแบบในการจัดงานเคาท์ดาวน์ที่แพร่ขยายไปทั่วโลกในขณะนี้ แต่จริงๆ แล้ว ในอีกฟากฝั่งของผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่แห่งนี้ ลาสเวกัสคืออีกหนึ่งสถานที่ที่น่าสนใจและเต็มไปด้วยสีสันไม่แพ้ฝั่งนิวยอร์คเลย เพราะอย่างที่เราๆ ท่านๆ ทราบกันดีอยู่แล้วว่าลาสเวกัสนั้นได้ชื่อว่าเป็นนครแห่งแสงสีที่ไม่เคยหลับใหล ซึ่งในวันที่ 31 ธันวาคมของทุกปี ที่นี่จะมีการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ทั่วทุกมุมถนน โดยเฉพาะในย่านดาวน์ทาวน์ ที่จะมีการจัดงานต้อนรับปีใหม่อย่างยิ่งใหญ่ ทั้งคอนเสิร์ตจากศิลปินระดับโลก และการแสดงดอกไม้ไฟพร้อมแสงสีเสียงสุดอลังการ 

New Year's Eve in London, United Kingdom 


สหราชอาณาจักรนั้นเป็นประเทศในลำดับท้ายๆ ของทวีปยุโรปที่จะได้เฉลิมฉลองเทศกาลต้อนรับปีใหม่เหมือนกับประเทศอื่นๆ ในทวีปเดียวกัน โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่มหานครลอนดอน จึงทำให้ในแต่ละปีการจัดงานของที่นี่จึงเป็นไปอย่างยิ่งใหญ่ตระการตา ทั้งการแสดงพลุไฟประกอบเสียงสีเสียง และขบวนพาเหรด เป็นต้น ผู้คนจำนวนหลักล้านจะมารวมตัวกัน ณ บริเวณริมแม่น้ำเทมส์ และลอนดอยอายส์หรือที่รู้จักกันดีในนามของชิงช้าสวรรค์ยักษ์อันเป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นอีกแห่งหนึ่งของกรุงลอนดอน รวมทั้งในบริเวณรอบๆ หอนาฬิกาบิ๊กเบน เพื่อรอนับเวลาถอยหลังพร้อมกัน และเมื่อถึงเวลา 10 วินาทีสุดท้ายก่อนจะก้าวเข้าสู่วันใหม่ พลุจำนวนหลายแสนนัดจะถูกจุดขึ้นพร้อมกันเบนท้องฟ้าเหนือลอนดอนอายส์ หอนาฬิกาบิ๊กเบน  และอาคารรัฐสภาเวสมินสเตอร์ ซึ่งเป็นภาพที่สวยงามและน่าประทับใจเป็นอย่างมาก 

Hong Kong New Year Countdown Celebrations, Hong Kong


หันกลับมาดูทวีปเอเชียบ้านเราบ้าง ฮ่องกงถือว่าเป็นประเทศที่ใช้งบลงทุนกับการเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ในจำนวนมหาศาลเป็นประจำทุกปี จึงทำให้ที่นี่เป็นประเทศที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ของโลกที่นักท่องเที่ยวจากชาติต่างๆ มักจะต้องมารวมกันที่นี่เพื่อรอการเฉลิมฉลองเทศกาลต้อนรับปีใหม่ที่สนุกสนานและสวยงาม ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของการแสดงดอกไม้ไฟจำนวนมหาศาล หรือ Light Show อันเป็นไฮไลท์ของการแสดงที่ในแต่ละปีมักจะเซอร์ไพรส์นักท่องเที่ยวได้เสมอ และเมื่อถึงเวลาแห่งการนับถอยหลังเข้าสู่วันแรกของปีใหม่ ในบริเวณริมอ่าววิคตอเรียจะคลาคล่ำไปด้วยผู้คนจากหลากหลายเชื้อชาติ ที่จะมารวมตัวกันเพื่อนับเวลาถอยหลังพร้อมกันและชมพลุที่จะถูกจุดขึ้นเป็นล้านๆ นัดเหนืออ่าววิคตอเรียแห่งนี้ 

Street Party - Amsterdam, Netherlands


อัมสเตอร์ดัม เมืองหลวงของประเทศเนเธอแลนด์ ถือเป็นอีกหนึ่งเมืองสำคัญในทวีปยุโรปที่เป็นจุดหมายทางของนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จากทั่วโลกในช่วงเทศกาลปีใหม่ เนื่องจากในช่วงวันที่ 31 ธันวาคมของทุกปี ถนนสายสำคัญในอัมสเตอร์ดัมจะกลายสภาพเป็นลานปาร์ตี้ ผู้คนจะออกมาชุมนุมตามท้องถนนพร้อมกับเต้นรำและสังสรรค์กันอย่างสนุกสนานท่ามกลางบรรยากาศที่หนาวเย็น ส่วนร้านอาหารและอาคารต่างๆ ตามสองข้างทางก็จะตกแต่งด้วยแสงไฟอย่างงดงามเพื่อเรียกแขกขาจร จากนั้นในช่วงเวลาสำคัญผู้คนก็จะกระจายกันจับจองที่ทาง ไม่ว่าจะเป็นตามท้องถนน บนสะพาน หรือบนม้านั่งในสวนสาธารณะเพื่อรอชมพลุไฟที่จะถูกจุดขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกันในช่วงเวลาเคาท์ดาวน์เข้าสู่ปีใหม่  

New Year's Eve Berlin, Germany


กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนีคืออีกหนึ่งเมืองที่น่าสนใจหากใครต้องการไปเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่กันที่นี่ เพราะเป็นเมืองที่ติดอันดับเมืองที่มีการเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ที่ดีที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ของโลกอีกแห่งหนึ่ง คริสต์ศาสนิกชนกว่าล้านคนจะมาชุมนุมกันในโบสถ์ต่างๆ ที่กระจายอยู่ทั่วกรุงเบอร์ลิน เพื่อร่วมสวดมนต์ข้ามปี ส่วนอีกด้านหนึ่งของเมือง ผู้คนจำนวนมากจะไปรวมตัวกัน ณ บริเวณประตูบรานเดนบวร์กจนถึงเสาแห่งชัยชนะ ซึ่งมีระยะความยาวถึง 2 กิโลเมตร เพื่อร่วมฉลองงานเยอรมันซิลเวสเตอร์ หรืองานปาร์ตี้ฉลองปีใหม่กลางแจ้งของกรุงเบอร์ลิน ที่ภายในงานจะประกอบด้วยคอนเสิร์ตจากวงดนตรีชั้นนำจากทั่วโลก การแสดงพลุไฟ และ Light show อันเป็นธรรมเนียมที่มีมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ที่กำแพงเบอร์ลินล่มสลายไป และเยอรมนีตะวันออกกับตะวันตกรวมกันเป็นหนึ่งเดียว

The New Year's Concert of the Vienna Philharmonic, Austria 


การเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ในกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรียนั้นค่อนข้างแตกต่างจากเมืองใหญ่อื่นๆ เพราะบรรยากาศการฉลองปีใหม่ของที่นี่ค่อนข้างคลาสสิกและโรแมนติก จึงทำให้งานเคาท์ดาวน์ที่เวียนนาเหมาะสำหรับคู่รัก หรือคู่แต่งงานเป็นอย่างยิ่ง โดยวันสุดท้ายของปี กรุงเวียนนาจะถูกเนรมิตให้คล้ายกับเป็นวทีคอนเสิร์ตขนาดใหญ่ แต่สิ่งที่พิเศษคือมันไม่ใช่แค่คอนเสิร์ตธรรมดาๆ ทั่วไป แต่เป็นคอนเสิร์ตในแบบซิมโฟนีออเคสตร้าอันเป็นประเพณีที่สืบต่อกันมาเป็นร้อยๆ ปี ซึ่งคอนเสิร์ตจะถูกจัดขึ้นทั้งในส่วนของพระราชวังอิมพีเรียล หรือแม้กระทั่งบนท้องถนน โดยงานจะเริ่มจะตั้งแต่เวลา 02.00 น. ของวันที่ 31 ธันวาคม ต่อเนื่องไปจนถึงเวลา 02.00 น. ของวันที่ 1 มกราคม ท้องถนนจะเต็มไปด้วยผู้คนที่ออกมาเต้นรำกันอย่างสนุกสนานและสวยงามในจังหวะดนตรีแจ๊ส วอลซ์ ฯลฯ อย่างเพลงของบรรดาคีตกรเอกอย่างบีโธเฟน บาก วิวัลดี โมสาร์ท เป็นต้น ภายใต้ความสว่างไสวของพลุจำนวนมากที่ถูกจุดขึ้นไปบนท้องฟ้า 

Race the Clock - Barcelona, Spain


สำหรับประเทศสเปน การเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ของพวกเขาออกจะค่อนข้างมีพิธิการมากกว่าประเทศอื่นๆ อยู่สักหน่อย นั่นคือในวันสุดท้ายของปี ชาวสเปนจะพร้อมใจกันเฉลิมฉลองเทศกาลภายในครอบครัวโดยไม่ออกจากบ้านไปไหนเลย จนกระทั่งเมื่อเวลาเที่ยงคืนมาถึง เสียงระฆังจากโบสถ์ต่างๆ จะดังขึ้นเป็นเครื่องบอกเวลาถึงวันใหม่ที่กำลังจะก้าวเข้ามา ซึ่งชาวสเปนทั้งหลายก็จะต้องรับประทานองุ่นจำนวน 12 ลูกเป็นการเอาฤกษ์เอาชัย เพราะพวกเขามีความเชื่อว่าการกินองุ่นในเวลาแรกของปีใหม่จะทำให้มีโชคดีตลอดทั้งปีที่กำลังมาถึง จากนั้นจึงจะออกไปเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่บนท้องถนน ด้วยการเต้นรำอันเป็นประเพณีที่สำคัญของชาวสเปนในชุดสีสันสดใส พร้อมกับชมดอกไม้ไฟ พลุ และประทัดจำนวนมากมาย ที่ส่องแสงสว่างไสวไปทั่วเมือง อันเป็นสิ่งที่แสดงถึงการต้อนรับเช้าวันใหม่ที่กำลังจะก้าวเข้ามา

Extended New Year Celebrations - Tokyo, Japan


สำหรับเมืองสุดท้ายนี้ เราขอปิดท้ายการเคาท์ดาวน์ ณ ประเทศญี่ปุ่น ที่เทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นั้นถือเป็นเทศกาลที่มีความสำคัญต่อชีวิตของพวกเขาเป็นอย่างมาก ซึ่งถ้าคุณอยากเปลี่ยนบรรยากาศของการเฉลิมฉลองปีใหม่มาสู่ความเงียบสงบ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นคือตัวเลือกที่คุณคู่ควร โดยในวันสุดท้ายของปี ครอบครัวชาวญี่ปุ่นจะเฉลิมฉลองเทศกาลกับครอบครัวภายในบ้านด้วยการรับประทานโซบะร่วมกันตามความเชื่อที่มีมาแต่โบราณ จากนั้นพวกเขาจึงจะแต่งตัวด้วยชุดประจำชาติอย่างกิโมโนหรือไม่ก็ชุดยูกาตะแล้วออกไปไหว้พระขอพรตามศาลเจ้าต่างๆ ที่มีอยู่ทั่วกรุงโตเกียว นับว่าเป็นบรรยากาศที่สวยงามมาก ประหนึ่งเหมือนกับย้อนเวลาไปในยุคโบราณ ส่วนตามท้องถนนต่างๆ ก็จะมีการประดับตกแต่งด้วยแสงไฟหลากสีดูสวยงาม จึงนับว่าโตเกียวเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่มีบรรยากาศของการเฉลิมฉลองปีใหม่ที่โรแมนติกที่สุดในโลก

วันอังคารที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เกาะเจจู ...มรดกแห่งความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ ตอนที่ 2

เกาะเจจูนั้นอาจเรียกได้ว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ขึ้นได้อย่างเหมาะเจาะและงดงาม จนกระทั่งได้รับการขึ้นทะเบียนรับรองจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติแห่งแรกของประเทศเกาหลีใต้ โดยเกาะเจจูนั้นกำเนิดขึ้นจากการระเบิดของภูเขาไฟ และลาวาที่ทับถมกันผ่านวันเวลาที่ยาวนานจนก่อเกิดเป็นเกาะขนาดใหญ่ที่มีระบบนิเวศน์และธรรมชาติอันสมบูรณ์แบบดังเช่นในปัจจุบัน

และสำหรับตอนที่แล้ว Mushroom Travel ได้นำท่านไปสัมผัสและเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวติดอันดับความนิยมของเกาะเจจูไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นในตอนที่ 2 นี้เราจะมาเรียนรู้ประวัติความเป็นมาของเกาะ ขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิม เทศกาลประจำปี รวมถึงอาหารท้องถิ่นของเกาะเจจูกัน ซึ่งเราขอการันตี ณ ที่ตรงนี้เลยว่า "เกาะเจจู ...มรดกแห่งความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ ตอนที่ 2" นี้ก็น่าสนใจไม่แพ้ตอนที่แล้วอย่างแน่นอน





เกาะเจจู ...มรดกแห่งความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่เก่าแก่และมีประวัติความเป็นมารวมถึงมีวัฒนธรรมท้องถิ่นมาอย่างยาวนาน คือตั้งแต่ช่วงก่อนคริสตกาล อีกทั้งมียังมีชื่อเดิมก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นเจจูว่าทัมรา ซึ่งมีความหมายว่าเมืองเกาะ อีกทั้งยังเป็นเมืองเก่าที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ก่อนช่วงคริสตกาลถึง 3 ศตวรรษ จนกระทั่งปี 1930 กองทัพญี่ปุ่นได้ยกพลขึ้นบกเพื่อหวังจะยึดครองเจจู และใช้เกาะแห่งนี้เป็นฐานทัพ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับญี่ปุ่นเลยถึงแม้ว่าประชากรส่วนใหญ่ของเจจูล้วนแล้วแต่เป็นผู้หญิงก็ตาม เพราะพวกเธอได้ลุกขึ้นต่อสู้กับทหารญี่ปุ่นอย่างห้าวหาญ จวบจนกระทั่งย่างเข้าปีที่ 2 พวกเธอก็ขับไล่กองทัพญี่ปุ่นออกจากเกาะได้สำเร็จ ซึ่งนักท่องเที่ยสามารถชื่นชมวีรกรรมความกล้าหาญของพวกเธอได้ที่พิพิธภัณฑ์อนุสรณ์ต่อต้านญี่ปุ่น เจจู และนอกจากนั้น ที่นี่ก็ยังมีพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจอีกมากมาย อย่างเช่น พิพิธภัณฑ์หมู่บ้านพื้นเมืองเจจู พิพิธภัณฑ์ศิลปะเจจู พิพิธภัณฑ์แก้วเจจู เป็นต้น

เอกลักษณ์วัฒนธรรมของเกาะเจจู
เกาะเจจูคือจังหวัดที่เล็กที่สุดของเกาหลีใต้ ตั้งอยู่ห่างจากชายฝั่งทะเลทางตอนใต้ของเกาหลีประมาณ 130 กิโลเมตร และเนื่องจากเกาะเจจูมีลักษณะภูมิประเทศบนเนินภูเขาไฟจึงทำให้มีสภาพอากาศที่หลากหลายและภูมิทัศน์ที่สวยงาม ทำให้เจจูกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากทั้งนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีเอง โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ดอกยูเชและดอกซากุระจะบานไปทั่วเกาะ

สำหรับในเรื่องเอกลัษณ์และวัฒนธรรมของเกาะเจจูนั้น กล่าวกันว่าสัญลักษณ์ของเกาะเจจูมีอยู่ 3 อย่างด้วยกัน นั่นคือลม หิน และผู้หญิง นั่นก็เพราะว่าเจจูเป็นเกาะซึ่งมีภูมิประเทศเป็นราบเชิงเขาที่ล้อมรอบด้วยทะเลทุกด้าน จึงทำให้ที่นี่ได้รับลมทะเลอย่างเต็มที่ นอกจากนั้นเจจูยังมีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครดังนี้

โอลเล (Olle)


ชาวเกาะเจจูนั้นเกิดบนหิน ส่วนบ้านช่องที่อยู่ก็เป็นหิน รั้วรอบบ้านก็เป็นหิน หรือแม้แต่ถนนหนทางก็ยังเป็นหิน รวมทั้งคนเจจูเองก็ต้องใส่จิบซินหรือรองเท้าฟางและหิน ดังนั้นวิถีชีวิตของชาวเกาะเจจูจึงล้วนเกี่ยวข้องกับหินทั้งสิ้นตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย เพราะเกาะเจจูนั้นเป็นเกาะที่เต็มไปด้วยหิน ไปไหนมาไหนจึงเจอแต่หินเต็มไปหมด กล่าวกันว่าชาวเกาะเจจูอาศัยอยู่กับหิน เมื่อเสียชีวิตก็กลับไปเป็นหิน ซึ่งโอลเลนั้นเป็นทางเดินที่สร้างขึ้นจากหิน มีไว้ช่วยกั้นลมที่พัดเข้ามายังเกาะ เพราะว่าลมนั้นเมื่อต้องพัดผ่านโอลเลแล้วจะมีกำลังลมที่อ่อนลง โดยโอลเลนี้แต่ละที่จะมีความยาวและลักษณะที่แตกต่างกัน นอกจากนี้โอลเลยังสามารถเป็นกำแพงบ้านใช้กั้นสายตาผู้คนจากภายนอกได้ด้วย ถือเป็นเอกลักษณ์ที่หาดูได้เฉพาะในเกาะเจจูเท่านั้น

โชคา (Choga)



ชาวเกาะเจจูในสมัยโบราณนับว่าเป็นผู้ที่มีความฉลาดเป็นอย่างมาก เพราะการอาศัยอยู่ในเกาะที่มีลมพัดแรงเกือบตลอดปีนั้นเป็นเรื่องยาก ดังนั้นโชคาจึงถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยภายในเกาะแห่งนี้ โดยโชคาเป็นบ้านที่สร้างด้วยหินเพื่อให้มีความแข็งแรงและทนทานต่อทุกสภาพอากาศ ส่วนหลังคาก็ทำจากฟางข้าวนำมามัดและต่อกันให้เป็นผืน โดยถักให้เป็นรูปแบบกระดานหมากรุกเพื่อให้มีความแน่นหนา นอกจากนั้นโชคาต้องทำหลังคาให้ต่ำเพื่อประโยชน์ในการหลีกเลี่ยงลมนั่นเอง

จองนังและเสาจองจูมก (Jeongnang & Jeongjuseok)


จองนังคือไม้กลมๆ 3 อันที่เสียบอยู่ในเสาจองจูมกที่เจาะรูเอาไว้ โดยตั้งอยู่หน้าทางเข้าโอลเลอันเป็นทางที่เชื่อมเข้าสู่ตัวบ้าน โดยในอดีตจองนังและเสาจองจูมกนี้มีเป้าหมายเพื่อใช้กั้นม้าและวัวที่ชาวบ้านเลี้ยงเอาไว้นอกบ้านไม่ให้เข้าไปภายในบ้าน แต่ในปัจจุบันหน้าที่ของจองนังนั้นเปลี่ยนไป เพราะมันถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของการสื่อสารระหว่างเจ้าของบ้านและแขกผู้มาเยือน นั่นคือ ถ้ามีไม้เสียบเอาไว้ 1 อัน หมายความว่าเจ้าของบ้านออกไปข้างนอกสักพักหนึ่ง ส่วนถ้ามีไม้เสียบเอาไว้ 2 อัน หมายถึงออกไปข้างนอกเป็นเวลานาน และถ้ามีเสียบเอาไว้ 3 อัน หมายถึงไม่อยู่ทั้งวัน 

โดล์ฮารีบัง (Dolhareubang)


โดล์ฮารีบังคือสัญลักษณ์ที่เป็นตัวแทนของเกาะเจจู มีลักษณะเป็นหินที่ถูกแกะสลักให้มีตายื่นและจมูกใหญ่ ริมฝีปากปิดสนิทและท้องโต แต่ก็อาจจะมีลักษณะที่แตกต่างกันไปในแต่ละหมู่บ้าน ซึ่งโดล์ฮารีบังนี้ชาวเกาะเจจูนับถือให้เป็นเทพที่คุ้มครองเกาะเจจูแห่งนี้ โดยลักษณะอันเข้มแข็งจากรูปร่างหน้าตาของโดล์ฮารีบังนั้นเหมาะกับชาวเจจูที่มีความเข้มแข็งและต่อสู้กับสภาพแวดล้อมและสภาพอากาศที่รุนแรงของเกาะเชจูเป็นอย่างยิ่ง

เฮนยอ (Haenyeo)


ผู้หญิงแห่งเกาะเจจูถือว่าเป็น 1 ใน 3 ของสัญลักษณ์ประจำเกาะ เนื่องจากว่าในสมัยอดีตนั้นผู้ชายเกาะเจจูจะมีหน้าที่อ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวไปสอบเข้ารับราชการ จึงทำให้บทบาทของผู้หาเลี้ยงครอบครัวนั้นตกเป็นหน้าที่ของผู้หญิง และเฮนยอหรือนักดำน้ำหญิงหาปลาก็เป็นอาชีพหลักของผู้หญิงในเกาะ ซึ่งวิธีการหาปลาของพวกเธอนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะพวกเธอจะต้องกลั้นใจดำลงไปในน้ำทะเลพร้อมกับเป่าปากเป็นเสียงนกหวีดไปด้วยเป็นเวลาประมาณ 2 นาที ในความลึกกว่า 20 เมตรต่อครั้ง โดยปราศจากถังออกซิเจน และมีเพียงแค่สายผูกที่ยึดติดเอาไว้กับเรือเท่านั้น

อาหารท้องถิ่นของเจจู

เนื่องจากเจจูมีลักษณะเป็นเกาะ จึงทำให้วัฒนธรรมทางอาหารของที่นี่ไม่เหมือนกับที่อื่น ซึ่งในเกาะเจจูนั้นจะนิยมทำอาหารโดยที่ยังคงรักษารสชาติดั้งเดิมของวัตถุดิบเอาไว้ให้มากที่สุด โดยเฉพาะอาหารที่มาจากทะเลสดๆ และผักผลไม้ที่มาจากการปลูกเองนั้นถือเป็นอาหารชั้นเลิศสำหรับชาวเกาะเจจู ที่หากใครได้ลองแล้วเป็นต้องติดใจจนไม่มีวันลืม และสำหรับอาหารยอดนิยมของเกาะเจจูนั้นก็มีอยู่หลายเมนูด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นหมูดำ ไก่ฟ้า เนื้อม้า ปลาดิบ ปลาคัลชี ปลาซาบะ โอบุนจาคิ หอยเป๋าฮื้อ หอยทาส และบิงตอก


ไก่ฟ้า (Pheasant Cuisine) เนื่องจากเกาะเจจูนั้นมีการเพาะเลี้ยงไก่ฟ้าเป็นจำนวนมาก และโดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ร่วงไก่ฟ้าจะมีรสชาติอร่อยที่สุด จะทานแบบดิบๆ หรือย่างก็ได้ ส่วนเนื้ออกไก่ฟ้านิยมนำมาทำเป็นน้ำซุปในเมนูก๋วยเตี๋ยวไก่ฟ้าซึ่งถือเป็นเมนูที่ย่อยง่ายและไม่หนักท้องมากจนเกินไป นักท่องเที่ยวสามารถหาเมนูนี้ทานได้ที่ร้าน Gyorae Chicken Restaurant เป็นต้น

ปลาดิบน้ำ (Water Raw Fish) ปลาดิบน้ำเป็นอาหารที่ชาวเกาะเจจูนิยมกินกันในช่วงกลางเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคม เพราะช่วยคลายความร้อนได้ดีเนื่องจากว่าเป็นเมนูที่ใส่น้ำแข็งลงไปด้วย อีกทั้งยังมีหลายชนิดให้เลือกชิมได้ตามใจชอบ เช่น ปลาดิบน้ำ ปลาดิบน้ำจารี แฮซัม โซรา ฮันชี ฯลฯ ที่สำคัญปลาที่ได้จากทะเลชองจองของกองเจจูนั้นนอกจากจะสดแล้ว ยังได้ชื่อว่ามีสารอาหารอยู่มากมาย มีไขมันน้อย แต่มีเนื้อนุ่ม ซึ่งร้านยอดนิยมได้แก่ Deunggyeongdol Restaurant, Namwon Sea Village Raw Fish Restaurant และ Jongdal-Jamsuchon Raw Fish Restaurant เป็นต้น

โอบุนจาคิ (Obunjagi Ttukbaegi) โอบุนจาคิคือเมนูอาหารทะเลที่ดีที่สุดในเกาะเจจู ซึ่งโอบุนจาคิก็คือหอยที่ชนิดไม่มีกระดูกที่อยู่ใต้ทะเลลึกถึง 20 เมตร ทั้งยังเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เพราะเต็มไปด้วยแร่ธาตุทั้งแคลเซียม เหล็ก และวิตามินบี ส่วนมากนิยมนำมาย่าง ทำซุป หรือทำโจ๊ก นักท่องเที่ยวสามารถหาทานได้ที่ร้าน Suracheong และ Ildo-Jeong เป็นต้น

บิงตอก (Bing Rice Cake) บิงตอกเป็นอาหารโบราณของชาวเจจูที่มีมานานกว่า 700 ปี มีลักษณะเป็นแป้งตอกห่อไส้ด้วยหัวไช้เท้า แครอท ต้นหอมที่ผสมกับเกลือป่น งา และนำไปทอดด้วยน้ำมันงาจนเหลืองกรอบ นิยมรับประทานกันในช่วงเทศกาลต่างๆ ของเกาะเจจู

เทศกาลสำคัญประจำฤดูกาลต่างๆ ของเกาะเจจู

อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วในข้างต้นว่าเกาะเจจูเป็นเกาะที่มีประวัติ วัฒนธรรม และความเป็นมาที่ยาวนานนับหลายๆ พันปี จึงไม่แปลกที่เกาะเจจูจะมีเทศกาลงานประเพณีประจำปีที่สำคัญต่อชีวิตและจิตใจของชาวเจจูมากมายหลายเทศกาล และเนื่องจากเจจูเป็นเกาะที่มีฤดูกาลที่แตกต่างกันถึง 4 ฤดูกาล นั่นก็คือฤดูใบไม้ไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว ดังนั้นงานเทศกาลต่างๆ จึงถูกแบ่งออกเป็นงานของแต่ละฤดูกาลด้วยเช่นกัน

ฤดูใบไม้ผลิ

เทศกาลดอกซากุระ (Jeju King Cherry Blossoms Festival)

ฤดูใบไม้ผลิของเกาะเจจูกินเวลาตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมีนาคมจนถึงเดือนพฤษภาคมของทุกปี อากาศในช่วงนี้ค่อนข้างอบอุ่น ดังนั้นดอกไม้นานาพรรณรวมทั้งดอกซากุระจะเริ่มผลิบานสะพรั่งครอบคลุมไปทั่วทั้งเกาะ  เทศกาลของฤดูใบไม้ผลิส่วนใหญ่จึงล้วนมีความเกี่ยวข้องกับดอกไม้แทบทั้งสิ้น อย่างเช่นเทศกาลเดินดอกยูเชซอควีโพในเดือนมีนาคม เทศกาลดอกซากุระ เทศกาลถนนวัฒนธรรม เทศกาลดอกยูเช เทศกาลหอยสังข์เกาะอูโด เทศกาลต้นเฟิร์น ซองจอง และเทศกาลทุ่งบาร์เลย์ เกาะคาพาในเดือนเมษายน และในเดือนพฤษภาคมอันเป็นเดือนสุดท้ายของฤดูใบไม้ผลิก็คือเทศกาลบางซอนมุน

ฤดูร้อน

เทศกาลทรายดำซัมยัง (Samyang Black Sand Beach Festival)

ฤดูร้อนของเกาะเจจูมีระยะเวลาตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงต้นเดือนกันยายน ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่ร้อนชื้นที่สุดของปี อีกทั้งยังเป็นช่วงมรสุมอีกด้วย ดังนั้นอากาศของเกาะเจจูในฤดูกาลนี้จึงค่อนข้างแปรปรวนผันผวน แต่กระนั้นชายหาดของเจจูก็ยังสวยงาม และดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนเจจูในช่วงฤดูร้อนไม่น้อย จึงทำให้งานเทศกาลของเจจูในช่วงฤดูนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับทะเล นัยว่าเป็นกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายความร้อนให้กับชาวเกาะเจจูนั่นเอง โดยในช่วงเดือนมิถุนายนจะเป็นเทศกาลรักชนบท เกาะเจจู เทศกาลอาหารทะเล โบมกจารีดม และเทศกาลซัมคุลบี เกาะชูจา ส่วนเดือนกรกฎาคมก็มีเทศกาลวัฒนธรรมของโลกทางทะเล เทศกาลบุลท็อคเกาะพยองฮวา เทศกาลทรายดำซัมยัง เทศกาลหาดเพียวซอนแบ็กซา และในเดือนสิงหาคมอันเป็นเดือนสุดท้ายของฤดูร้อนก็มีเทศกาลอีโฮ เทอู เทศกาลอาหารทะเลโอเลมุล โคดู เทศกาลทรายดำ เซโซกัก เฮียวดนโดง และเทศกาลแทร็กกิ้งสันติ บงเค

ฤดูใบไม้ร่วง

เทศกาลชิลซิบรี ซอควีโพ (Seogwipo Chilshimni Festival)

ฤดูใบไม้ร่วงตั้งแต่เดือนกันยายนถึงเดือนพฤศจิกายนของทุกปีคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับนักท่องเที่ยวหากต้องการมาเยือนเกาะเจจู เพราะในฤดูนี้เจจูดูจะสวยงามเป็นพิเศษ ด้วยภูมิอกาศที่อบอุ่นกับแดดอ่อนๆ บวกกับท้องฟ้าสีฟ้าใสและใบไม้ที่กำลังเปลี่ยนสีสัน ส่วนในเรื่องของเทศกาลประจำฤดูใบไม้ร่วงของเกาะเจจูก็เริ่มที่เดือนกันยายนกับเทศกาลนนจิดมุลเยเร เทศกาลซันจีซอน เทศกาลแสดงวัฒนธรรมพื้นเมืองดอคซูรี เทศกาลชิลซิบรี ซอควีโพ เทศกาลนักดำน้ำหญิงเจจู เทศกาลจองอีโคอึลมินซกฮันมาดัง และเทศกาลม้าเจจู ส่วนในเดือนพฤศจิกายนก็เป็นเทศกาลโมซึลโพบังออเชนัมดัน และเทศกาลฮนอินจี

ฤดูหนาว

เทศกาลทุ่งไฟ พระจันทร์เต็มดวง (Jeju Jeongwol Daeboreum Fire Festival)

ฤดูหนาวของเจจูมีอากาศหนาวเย็นและค่อนข้างแห้ง ซึ่งอยู่ในช่วงเดือนธันวาคมถึงกลางเดือนมีนาคม แต่ฤดูกาลนี้ก็ถือเป็นอีกช่วงเวลาที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสความหนาวเย็น หรือหิมะสีขาวโพลน รวมทั้งการเล่นสกี รวมถึงหากนักท่องเที่ยวต้องการสัมผัสกับวัฒนธรรมประเพณีในแบบเจจูแท้ๆ ช่วงนี้ที่นี่ก็มีเทศกาลสำคัญๆ ที่ทั้งสนุกสนานและสวยงาม อย่างเช่นเทศกาลพระอาทิตย์ขึ้นซองซันในเดือนธันวาคม ส่วนเดือนมกราคมเป็นเทศกาลแข่งว่ายน้ำเพนกวินทะเลซอควีโพที่สุดแสนจะน่ารัก และปิดท้ายฤดูหนาวด้วยเทศกาลอิบชุนคุด ทัมลาคุค และเทศกาลทุ่งไฟ พระจันทร์เต็มดวงในเดือนกุมภาพันธ์

และทั้งหมดนี้ก็คือ "เกาะเจจู" อีกหนึ่งเพชรเม็ดงามแห่งเกาหลีที่ธรรมชาติได้สรรสร้างขึ้นอย่างมหัศจรรย์ จนทำให้สถานที่ท่องเที่ยวถึง 9 แห่งภายในเกาะเจจูแห่งนี้ถูกรับรองให้เป็นอุทยานธรณีของโลกจากองค์การยูเนสโกในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2010 ซึ่ง "Mushroom Travel" ได้เปิดเส้นทางการท่องเที่ยวเกาะเจจูเต็มรูปแบบเพื่อให้ท่านได้ไปสัมผัสกับความงามและความมหัศจรรย์ของเกาะเจจูแล้ววันนี้