เกาะเจจูนั้นอาจเรียกได้ว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ขึ้นได้อย่างเหมาะเจาะและงดงาม จนกระทั่งได้รับการขึ้นทะเบียนรับรองจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติแห่งแรกของประเทศเกาหลีใต้ โดยเกาะเจจูนั้นกำเนิดขึ้นจากการระเบิดของภูเขาไฟ และลาวาที่ทับถมกันผ่านวันเวลาที่ยาวนานจนก่อเกิดเป็นเกาะขนาดใหญ่ที่มีระบบนิเวศน์และธรรมชาติอันสมบูรณ์แบบดังเช่นในปัจจุบัน
และสำหรับตอนที่แล้ว
Mushroom Travel ได้นำท่านไปสัมผัสและเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวติดอันดับความนิยมของเกาะเจจูไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นในตอนที่ 2 นี้เราจะมาเรียนรู้ประวัติความเป็นมาของเกาะ ขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิม เทศกาลประจำปี รวมถึงอาหารท้องถิ่นของเกาะเจจูกัน ซึ่งเราขอการันตี ณ ที่ตรงนี้เลยว่า "เกาะเจจู ...มรดกแห่งความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ ตอนที่ 2" นี้ก็น่าสนใจไม่แพ้ตอนที่แล้วอย่างแน่นอน
เกาะเจจู ...มรดกแห่งความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่เก่าแก่และมีประวัติความเป็นมารวมถึงมีวัฒนธรรมท้องถิ่นมาอย่างยาวนาน คือตั้งแต่ช่วงก่อนคริสตกาล อีกทั้งมียังมีชื่อเดิมก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นเจจูว่าทัมรา ซึ่งมีความหมายว่าเมืองเกาะ อีกทั้งยังเป็นเมืองเก่าที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ก่อนช่วงคริสตกาลถึง 3 ศตวรรษ จนกระทั่งปี 1930 กองทัพญี่ปุ่นได้ยกพลขึ้นบกเพื่อหวังจะยึดครองเจจู และใช้เกาะแห่งนี้เป็นฐานทัพ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับญี่ปุ่นเลยถึงแม้ว่าประชากรส่วนใหญ่ของเจจูล้วนแล้วแต่เป็นผู้หญิงก็ตาม เพราะพวกเธอได้ลุกขึ้นต่อสู้กับทหารญี่ปุ่นอย่างห้าวหาญ จวบจนกระทั่งย่างเข้าปีที่ 2 พวกเธอก็ขับไล่กองทัพญี่ปุ่นออกจากเกาะได้สำเร็จ ซึ่งนักท่องเที่ยสามารถชื่นชมวีรกรรมความกล้าหาญของพวกเธอได้ที่พิพิธภัณฑ์อนุสรณ์ต่อต้านญี่ปุ่น เจจู และนอกจากนั้น ที่นี่ก็ยังมีพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจอีกมากมาย อย่างเช่น พิพิธภัณฑ์หมู่บ้านพื้นเมืองเจจู พิพิธภัณฑ์ศิลปะเจจู พิพิธภัณฑ์แก้วเจจู เป็นต้น
เอกลักษณ์วัฒนธรรมของเกาะเจจู
เกาะเจจูคือจังหวัดที่เล็กที่สุดของเกาหลีใต้ ตั้งอยู่ห่างจากชายฝั่งทะเลทางตอนใต้ของเกาหลีประมาณ 130 กิโลเมตร และเนื่องจากเกาะเจจูมีลักษณะภูมิประเทศบนเนินภูเขาไฟจึงทำให้มีสภาพอากาศที่หลากหลายและภูมิทัศน์ที่สวยงาม ทำให้เจจูกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากทั้งนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีเอง โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ดอกยูเชและดอกซากุระจะบานไปทั่วเกาะ
สำหรับในเรื่องเอกลัษณ์และวัฒนธรรมของเกาะเจจูนั้น กล่าวกันว่าสัญลักษณ์ของเกาะเจจูมีอยู่ 3 อย่างด้วยกัน นั่นคือลม หิน และผู้หญิง นั่นก็เพราะว่าเจจูเป็นเกาะซึ่งมีภูมิประเทศเป็นราบเชิงเขาที่ล้อมรอบด้วยทะเลทุกด้าน จึงทำให้ที่นี่ได้รับลมทะเลอย่างเต็มที่ นอกจากนั้นเจจูยังมีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครดังนี้
โอลเล (Olle)
ชาวเกาะเจจูนั้นเกิดบนหิน ส่วนบ้านช่องที่อยู่ก็เป็นหิน รั้วรอบบ้านก็เป็นหิน หรือแม้แต่ถนนหนทางก็ยังเป็นหิน รวมทั้งคนเจจูเองก็ต้องใส่จิบซินหรือรองเท้าฟางและหิน ดังนั้นวิถีชีวิตของชาวเกาะเจจูจึงล้วนเกี่ยวข้องกับหินทั้งสิ้นตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย เพราะเกาะเจจูนั้นเป็นเกาะที่เต็มไปด้วยหิน ไปไหนมาไหนจึงเจอแต่หินเต็มไปหมด กล่าวกันว่าชาวเกาะเจจูอาศัยอยู่กับหิน เมื่อเสียชีวิตก็กลับไปเป็นหิน ซึ่งโอลเลนั้นเป็นทางเดินที่สร้างขึ้นจากหิน มีไว้ช่วยกั้นลมที่พัดเข้ามายังเกาะ เพราะว่าลมนั้นเมื่อต้องพัดผ่านโอลเลแล้วจะมีกำลังลมที่อ่อนลง โดยโอลเลนี้แต่ละที่จะมีความยาวและลักษณะที่แตกต่างกัน นอกจากนี้โอลเลยังสามารถเป็นกำแพงบ้านใช้กั้นสายตาผู้คนจากภายนอกได้ด้วย ถือเป็นเอกลักษณ์ที่หาดูได้เฉพาะในเกาะเจจูเท่านั้น
โชคา (Choga)
ชาวเกาะเจจูในสมัยโบราณนับว่าเป็นผู้ที่มีความฉลาดเป็นอย่างมาก เพราะการอาศัยอยู่ในเกาะที่มีลมพัดแรงเกือบตลอดปีนั้นเป็นเรื่องยาก ดังนั้นโชคาจึงถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยภายในเกาะแห่งนี้ โดยโชคาเป็นบ้านที่สร้างด้วยหินเพื่อให้มีความแข็งแรงและทนทานต่อทุกสภาพอากาศ ส่วนหลังคาก็ทำจากฟางข้าวนำมามัดและต่อกันให้เป็นผืน โดยถักให้เป็นรูปแบบกระดานหมากรุกเพื่อให้มีความแน่นหนา นอกจากนั้นโชคาต้องทำหลังคาให้ต่ำเพื่อประโยชน์ในการหลีกเลี่ยงลมนั่นเอง
จองนังและเสาจองจูมก (Jeongnang & Jeongjuseok)
จองนังคือไม้กลมๆ 3 อันที่เสียบอยู่ในเสาจองจูมกที่เจาะรูเอาไว้ โดยตั้งอยู่หน้าทางเข้าโอลเลอันเป็นทางที่เชื่อมเข้าสู่ตัวบ้าน โดยในอดีตจองนังและเสาจองจูมกนี้มีเป้าหมายเพื่อใช้กั้นม้าและวัวที่ชาวบ้านเลี้ยงเอาไว้นอกบ้านไม่ให้เข้าไปภายในบ้าน แต่ในปัจจุบันหน้าที่ของจองนังนั้นเปลี่ยนไป เพราะมันถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของการสื่อสารระหว่างเจ้าของบ้านและแขกผู้มาเยือน นั่นคือ ถ้ามีไม้เสียบเอาไว้ 1 อัน หมายความว่าเจ้าของบ้านออกไปข้างนอกสักพักหนึ่ง ส่วนถ้ามีไม้เสียบเอาไว้ 2 อัน หมายถึงออกไปข้างนอกเป็นเวลานาน และถ้ามีเสียบเอาไว้ 3 อัน หมายถึงไม่อยู่ทั้งวัน
โดล์ฮารีบัง (Dolhareubang)
โดล์ฮารีบังคือสัญลักษณ์ที่เป็นตัวแทนของเกาะเจจู มีลักษณะเป็นหินที่ถูกแกะสลักให้มีตายื่นและจมูกใหญ่ ริมฝีปากปิดสนิทและท้องโต แต่ก็อาจจะมีลักษณะที่แตกต่างกันไปในแต่ละหมู่บ้าน ซึ่งโดล์ฮารีบังนี้ชาวเกาะเจจูนับถือให้เป็นเทพที่คุ้มครองเกาะเจจูแห่งนี้ โดยลักษณะอันเข้มแข็งจากรูปร่างหน้าตาของโดล์ฮารีบังนั้นเหมาะกับชาวเจจูที่มีความเข้มแข็งและต่อสู้กับสภาพแวดล้อมและสภาพอากาศที่รุนแรงของเกาะเชจูเป็นอย่างยิ่ง
เฮนยอ (Haenyeo)
ผู้หญิงแห่งเกาะเจจูถือว่าเป็น 1 ใน 3 ของสัญลักษณ์ประจำเกาะ เนื่องจากว่าในสมัยอดีตนั้นผู้ชายเกาะเจจูจะมีหน้าที่อ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวไปสอบเข้ารับราชการ จึงทำให้บทบาทของผู้หาเลี้ยงครอบครัวนั้นตกเป็นหน้าที่ของผู้หญิง และเฮนยอหรือนักดำน้ำหญิงหาปลาก็เป็นอาชีพหลักของผู้หญิงในเกาะ ซึ่งวิธีการหาปลาของพวกเธอนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะพวกเธอจะต้องกลั้นใจดำลงไปในน้ำทะเลพร้อมกับเป่าปากเป็นเสียงนกหวีดไปด้วยเป็นเวลาประมาณ 2 นาที ในความลึกกว่า 20 เมตรต่อครั้ง โดยปราศจากถังออกซิเจน และมีเพียงแค่สายผูกที่ยึดติดเอาไว้กับเรือเท่านั้น
อาหารท้องถิ่นของเจจู
เนื่องจากเจจูมีลักษณะเป็นเกาะ จึงทำให้วัฒนธรรมทางอาหารของที่นี่ไม่เหมือนกับที่อื่น ซึ่งในเกาะเจจูนั้นจะนิยมทำอาหารโดยที่ยังคงรักษารสชาติดั้งเดิมของวัตถุดิบเอาไว้ให้มากที่สุด โดยเฉพาะอาหารที่มาจากทะเลสดๆ และผักผลไม้ที่มาจากการปลูกเองนั้นถือเป็นอาหารชั้นเลิศสำหรับชาวเกาะเจจู ที่หากใครได้ลองแล้วเป็นต้องติดใจจนไม่มีวันลืม และสำหรับอาหารยอดนิยมของเกาะเจจูนั้นก็มีอยู่หลายเมนูด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นหมูดำ ไก่ฟ้า เนื้อม้า ปลาดิบ ปลาคัลชี ปลาซาบะ โอบุนจาคิ หอยเป๋าฮื้อ หอยทาส และบิงตอก
ไก่ฟ้า (Pheasant Cuisine) เนื่องจากเกาะเจจูนั้นมีการเพาะเลี้ยงไก่ฟ้าเป็นจำนวนมาก และโดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ร่วงไก่ฟ้าจะมีรสชาติอร่อยที่สุด จะทานแบบดิบๆ หรือย่างก็ได้ ส่วนเนื้ออกไก่ฟ้านิยมนำมาทำเป็นน้ำซุปในเมนูก๋วยเตี๋ยวไก่ฟ้าซึ่งถือเป็นเมนูที่ย่อยง่ายและไม่หนักท้องมากจนเกินไป นักท่องเที่ยวสามารถหาเมนูนี้ทานได้ที่ร้าน Gyorae Chicken Restaurant เป็นต้น
ปลาดิบน้ำ (Water Raw Fish) ปลาดิบน้ำเป็นอาหารที่ชาวเกาะเจจูนิยมกินกันในช่วงกลางเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคม เพราะช่วยคลายความร้อนได้ดีเนื่องจากว่าเป็นเมนูที่ใส่น้ำแข็งลงไปด้วย อีกทั้งยังมีหลายชนิดให้เลือกชิมได้ตามใจชอบ เช่น ปลาดิบน้ำ ปลาดิบน้ำจารี แฮซัม โซรา ฮันชี ฯลฯ ที่สำคัญปลาที่ได้จากทะเลชองจองของกองเจจูนั้นนอกจากจะสดแล้ว ยังได้ชื่อว่ามีสารอาหารอยู่มากมาย มีไขมันน้อย แต่มีเนื้อนุ่ม ซึ่งร้านยอดนิยมได้แก่ Deunggyeongdol Restaurant, Namwon Sea Village Raw Fish Restaurant และ Jongdal-Jamsuchon Raw Fish Restaurant เป็นต้น
โอบุนจาคิ (Obunjagi Ttukbaegi) โอบุนจาคิคือเมนูอาหารทะเลที่ดีที่สุดในเกาะเจจู ซึ่งโอบุนจาคิก็คือหอยที่ชนิดไม่มีกระดูกที่อยู่ใต้ทะเลลึกถึง 20 เมตร ทั้งยังเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เพราะเต็มไปด้วยแร่ธาตุทั้งแคลเซียม เหล็ก และวิตามินบี ส่วนมากนิยมนำมาย่าง ทำซุป หรือทำโจ๊ก นักท่องเที่ยวสามารถหาทานได้ที่ร้าน Suracheong และ Ildo-Jeong เป็นต้น
บิงตอก (Bing Rice Cake) บิงตอกเป็นอาหารโบราณของชาวเจจูที่มีมานานกว่า 700 ปี มีลักษณะเป็นแป้งตอกห่อไส้ด้วยหัวไช้เท้า แครอท ต้นหอมที่ผสมกับเกลือป่น งา และนำไปทอดด้วยน้ำมันงาจนเหลืองกรอบ นิยมรับประทานกันในช่วงเทศกาลต่างๆ ของเกาะเจจู
เทศกาลสำคัญประจำฤดูกาลต่างๆ ของเกาะเจจู
อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วในข้างต้นว่าเกาะเจจูเป็นเกาะที่มีประวัติ วัฒนธรรม และความเป็นมาที่ยาวนานนับหลายๆ พันปี จึงไม่แปลกที่เกาะเจจูจะมีเทศกาลงานประเพณีประจำปีที่สำคัญต่อชีวิตและจิตใจของชาวเจจูมากมายหลายเทศกาล และเนื่องจากเจจูเป็นเกาะที่มีฤดูกาลที่แตกต่างกันถึง 4 ฤดูกาล นั่นก็คือฤดูใบไม้ไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว ดังนั้นงานเทศกาลต่างๆ จึงถูกแบ่งออกเป็นงานของแต่ละฤดูกาลด้วยเช่นกัน
ฤดูใบไม้ผลิ
เทศกาลดอกซากุระ (Jeju King Cherry Blossoms Festival)
ฤดูใบไม้ผลิของเกาะเจจูกินเวลาตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมีนาคมจนถึงเดือนพฤษภาคมของทุกปี อากาศในช่วงนี้ค่อนข้างอบอุ่น ดังนั้นดอกไม้นานาพรรณรวมทั้งดอกซากุระจะเริ่มผลิบานสะพรั่งครอบคลุมไปทั่วทั้งเกาะ เทศกาลของฤดูใบไม้ผลิส่วนใหญ่จึงล้วนมีความเกี่ยวข้องกับดอกไม้แทบทั้งสิ้น อย่างเช่นเทศกาลเดินดอกยูเชซอควีโพในเดือนมีนาคม เทศกาลดอกซากุระ เทศกาลถนนวัฒนธรรม เทศกาลดอกยูเช เทศกาลหอยสังข์เกาะอูโด เทศกาลต้นเฟิร์น ซองจอง และเทศกาลทุ่งบาร์เลย์ เกาะคาพาในเดือนเมษายน และในเดือนพฤษภาคมอันเป็นเดือนสุดท้ายของฤดูใบไม้ผลิก็คือเทศกาลบางซอนมุน
ฤดูร้อน
เทศกาลทรายดำซัมยัง (Samyang Black Sand Beach Festival)
ฤดูร้อนของเกาะเจจูมีระยะเวลาตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงต้นเดือนกันยายน ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่ร้อนชื้นที่สุดของปี อีกทั้งยังเป็นช่วงมรสุมอีกด้วย ดังนั้นอากาศของเกาะเจจูในฤดูกาลนี้จึงค่อนข้างแปรปรวนผันผวน แต่กระนั้นชายหาดของเจจูก็ยังสวยงาม และดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนเจจูในช่วงฤดูร้อนไม่น้อย จึงทำให้งานเทศกาลของเจจูในช่วงฤดูนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับทะเล นัยว่าเป็นกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายความร้อนให้กับชาวเกาะเจจูนั่นเอง โดยในช่วงเดือนมิถุนายนจะเป็นเทศกาลรักชนบท เกาะเจจู เทศกาลอาหารทะเล โบมกจารีดม และเทศกาลซัมคุลบี เกาะชูจา ส่วนเดือนกรกฎาคมก็มีเทศกาลวัฒนธรรมของโลกทางทะเล เทศกาลบุลท็อคเกาะพยองฮวา เทศกาลทรายดำซัมยัง เทศกาลหาดเพียวซอนแบ็กซา และในเดือนสิงหาคมอันเป็นเดือนสุดท้ายของฤดูร้อนก็มีเทศกาลอีโฮ เทอู เทศกาลอาหารทะเลโอเลมุล โคดู เทศกาลทรายดำ เซโซกัก เฮียวดนโดง และเทศกาลแทร็กกิ้งสันติ บงเค
ฤดูใบไม้ร่วง
เทศกาลชิลซิบรี ซอควีโพ (Seogwipo Chilshimni Festival)
ฤดูใบไม้ร่วงตั้งแต่เดือนกันยายนถึงเดือนพฤศจิกายนของทุกปีคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับนักท่องเที่ยวหากต้องการมาเยือนเกาะเจจู เพราะในฤดูนี้เจจูดูจะสวยงามเป็นพิเศษ ด้วยภูมิอกาศที่อบอุ่นกับแดดอ่อนๆ บวกกับท้องฟ้าสีฟ้าใสและใบไม้ที่กำลังเปลี่ยนสีสัน ส่วนในเรื่องของเทศกาลประจำฤดูใบไม้ร่วงของเกาะเจจูก็เริ่มที่เดือนกันยายนกับเทศกาลนนจิดมุลเยเร เทศกาลซันจีซอน เทศกาลแสดงวัฒนธรรมพื้นเมืองดอคซูรี เทศกาลชิลซิบรี ซอควีโพ เทศกาลนักดำน้ำหญิงเจจู เทศกาลจองอีโคอึลมินซกฮันมาดัง และเทศกาลม้าเจจู ส่วนในเดือนพฤศจิกายนก็เป็นเทศกาลโมซึลโพบังออเชนัมดัน และเทศกาลฮนอินจี
ฤดูหนาว
เทศกาลทุ่งไฟ พระจันทร์เต็มดวง (Jeju Jeongwol Daeboreum Fire Festival)
ฤดูหนาวของเจจูมีอากาศหนาวเย็นและค่อนข้างแห้ง ซึ่งอยู่ในช่วงเดือนธันวาคมถึงกลางเดือนมีนาคม แต่ฤดูกาลนี้ก็ถือเป็นอีกช่วงเวลาที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสความหนาวเย็น หรือหิมะสีขาวโพลน รวมทั้งการเล่นสกี รวมถึงหากนักท่องเที่ยวต้องการสัมผัสกับวัฒนธรรมประเพณีในแบบเจจูแท้ๆ ช่วงนี้ที่นี่ก็มีเทศกาลสำคัญๆ ที่ทั้งสนุกสนานและสวยงาม อย่างเช่นเทศกาลพระอาทิตย์ขึ้นซองซันในเดือนธันวาคม ส่วนเดือนมกราคมเป็นเทศกาลแข่งว่ายน้ำเพนกวินทะเลซอควีโพที่สุดแสนจะน่ารัก และปิดท้ายฤดูหนาวด้วยเทศกาลอิบชุนคุด ทัมลาคุค และเทศกาลทุ่งไฟ พระจันทร์เต็มดวงในเดือนกุมภาพันธ์
และทั้งหมดนี้ก็คือ "เกาะเจจู" อีกหนึ่งเพชรเม็ดงามแห่งเกาหลีที่ธรรมชาติได้สรรสร้างขึ้นอย่างมหัศจรรย์ จนทำให้สถานที่ท่องเที่ยวถึง 9 แห่งภายในเกาะเจจูแห่งนี้ถูกรับรองให้เป็นอุทยานธรณีของโลกจากองค์การยูเนสโกในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2010 ซึ่ง "Mushroom Travel" ได้เปิดเส้นทางการท่องเที่ยวเกาะเจจูเต็มรูปแบบเพื่อให้ท่านได้ไปสัมผัสกับความงามและความมหัศจรรย์ของเกาะเจจูแล้ววันนี้