วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2558

10 เทคนิคการจัดกระเป๋าเดินทางเพื่อให้เหลือที่ว่างอย่างง่ายๆ

เมื่อจะต้องออกเดินทางในแต่ละครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางเพื่อการท่องเที่ยว เพื่อธุรกิจ หรือไม่ว่าจะเป็นการเดินทางโดยมีจุดหมายปลายทางอย่างไรก็แล้วแต่ สิ่งที่ยุ่งยากและน่าหนักใจมากที่สุดสำหรับหลายๆ คนก็คือการจัดกระเป๋านั่นเอง เพราะการจัดกระเป๋าเดินทางนั้นไม่ใช่แค่การยัดๆ เสื้อผ้าหรือข้าวของเครื่องใช้ใส่ลงไปในกระเป๋าเท่านั้น แต่คุณต้องคำนึงถึงขนาดและน้ำหนักของกระเป๋าด้วย โดยเฉพาะการเดินทางโดยเครื่องบินที่มีการจำกัดน้ำหนักทั้งกระเป๋าที่ถือขึ้นเครื่องและกระเป๋าที่โหลดใต้ท้องเครื่อง รวมถึงในกรณีที่คุณเป็นขาช้อปตัวยงแล้วล่ะก็ การจัดกระเป๋ายิ่งเป็นเรื่องที่ลำบากมากขึ้นเป็นเท่าตัว เพราะไม่เช่นนั้นกระเป๋าเดินทางใบโปรดของคุณอาจระเบิดตัวเองในระหว่างทาง หรือไม่ก็ออกลูกออกหลานเพิ่มขึ้นอีกหลายใบ จนคุณไม่สามารถแบกกลับมาได้เพียงคนเดียว


ทั้งนี้มัชรูมทราเวลตระหนักดีว่าการเดินทางในแต่ละครั้ง ทุกขั้นตอนล้วนมีความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมเอกสาร การจัดกระเป๋า จนกระทั่งจบทริป ดังนั้นวันนี้มัชรูมทราเวลจึงมีทิปส์สำหรับการจัดกระเป๋าเดินทางมาฝากคุณผู้อ่านค่ะ ซึ่งทิปส์ที่เรานำมาฝากนี้จะช่วยให้คุณประหยัดเนื้อที่ในกระเป๋าได้มากขึ้น และสามารถช้อปปิ้งของที่ต้องการได้โดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องของน้ำหนักกระเป๋าอีกต่อไป

1. สำหรับคุณผู้หญิงทั้งหลาย แน่นอนว่าใครๆ ก็อยากสวยตลอดเวลา ซึ่งสิ่งที่ตามมาก็คือเมื่อเราต้องจัดกระเป๋าเดินทางความรู้สึกของการรักพี่เสียดายน้องจึงเกิดขึ้น คุณจะมีความรู้สึกว่าเสื้อตัวนี้ก็สวย เดรสชุดนั้นใส่สบาย กางเกงตัวนู้นฉันใส่แล้วหุ่นดี และพอคุณรู้ตัวอีกทีเสื้อผ้าก็กองเป็นภูเขาเลากาเสียแล้ว ทางแก้ปัญหาก็คือให้ตัดใจเสีย แล้วเลือกเสื้อผ้าเพียงครึ่งเดียวจากกองเสื้อผ้าที่คุณเลือกไว้เท่านั้น

2. โดยปกติสายการบินจะอนุญาตให้ผู้โดยสารสามารถนำกระเป๋าติดตัวขึ้นเครื่องได้ไม่เกิน 7 กิโลกรัม ดังนั้นสิ่งของที่ผู้โดยสารนำติดตัวไม่ควรชิ้นใหญ่จนไม่สามารถยัดใส่กระเป๋าได้ และควรเป็นสิ่งที่คุณจำเป็นต้องใช้ระหว่างอยู่บนเครื่องหรือเมื่อลงจากเครื่องเรียบร้อย อย่างเช่นเอกสารการเดินทาง เครื่องสำอาง หมอนรองคอ หรือเสื้อคลุมในกรณีที่จุดหมายปลายทางมีอากาศค่อนข้างหนาวเย็น เป็นต้น


3. หากสัมภาระที่นักท่องเที่ยวต้องการพกพาไปด้วยหรือซื้อกลับมาเป็นสิ่งของที่แตกหักได้ง่าย อย่างเช่น เหล้า เครื่องแก้ว เครื่องปั้นดินเผา เครื่องลายคราม เป็นต้น ก่อนจะเก็บลงกระเป๋าเดินทางควรบรรจุในหีบห่อที่แข็งแรงเสียก่อนโดยภายในต้องมีวัสดุกันกระแทกซ้อนเอาไว้ด้วย จากนั้นในขั้นตอนโหลดกระเป๋า ให้แจ้งเจ้าหน้าที่สายการบินให้ทราบ เพื่อที่เจ้าหน้าที่จะได้นำฉลาก fragile หรือฉลากแก้วแตกมาติดไว้ที่กระเป๋า ซึ่งหมายถึงสิ่งของภายในหีบห่อนั้นสามารถแตกเสียหายหรือชำรุดได้โดยง่ายนั่นเอง

4. จัดกระเป๋าเดินทางโดยใช้วิธีการมิกซ์แอนด์แมตซ์ ซึ่งทิปในข้อนี้อาจจะเหมาะสำหรับคุณผู้ชายมากกว่าคุณผู้หญิง หรือนักท่องเที่ยวประเภทขาลุยแบ็กแพคเกอร์ทั้งหลายที่ไม่ได้เน้นความสวยความงามของตัวเองสักเท่าไรนัก ยกอย่างเช่น คุณวางแผนการเดินทางไว้ทั้งหมด 9 วัน เพียงคุณนำเสื้อยืดไป 3 ตัว กับกางเกงอีก 3 ตัว ก็สามารถมิกซ์แอนด์แมตซ์เสื้อผ้าให้เป็น 9 ชุดได้แล้ว


5. ผู้เขียนยอมรับว่าหนังสือคือแหล่งความรู้ชั้นดี โดยเฉพาะเมื่อคุณต้องเดินทางไปในถิ่นที่ไม่คุ้นเคยแล้วล่ะก็ ไกด์บุ๊คดีๆ สักเล่มสองเล่มก็ช่วยให้คุณสามารถเอาตัวรอดได้แล้ว แต่ก็อย่าลืมว่าหนังสือแต่ละเล่มนั้นมีน้ำหนักไม่ใช่น้อย ดังนั้นการแบกหนังสือติดตัวไปด้วยอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก หากนักท่องเที่ยวต้องการข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ควรโหลดเก็บไว้ในไอแพดหรือสมาร์ทโฟนจะสะดวกและประหยัดเนื้อที่ได้มากกว่า

6. เครื่องใช้ไฟฟ้าไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นเตารีดหรือไดร์เป่าผมก็ตาม นั่นก็เพราะว่าโรงแรมส่วนใหญ่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้ไว้สำหรับแขกผู้เข้าพักอยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ดี ควรเลือกเฉพาะเสื้อผ้าที่ไม่จำเป็นต้องรีดหรือค่อนข้างยับยาก ส่วนทรงผมสำหรับคุณผู้หญิง ควรจะเตรียมกิ๊ฟท์หรือยางมัดผมเก๋ๆ ไปด้วย ก็จะทำให้สะดวกในการจัดแต่งทรงผมโดยที่ไม่ต้องใช้ไดร์เป่าผมให้ยุ่งยาก


7. แจ๊คเก็ตและเสื้อกันหนาวถือเป็นปัญหาใหญ่สำหรับการจัดกระเป๋าเดินทางเลยทีเดียว เนื่องจากขนาดที่ใหญ่และความหนาที่มากกว่าเสื้อผ้าธรรมดาทั่วไปจึงทำให้กินพื้นที่ของกระเป๋าและทำให้น้ำหนักของกระเป๋าเพิ่มขึ้นอีกหลายกิโล ดังนั้นก่อนจะจัดกระเป๋าเราควรตรวจสภาพอุณหภูมิของสถานที่ที่เราจะไปเสียก่อน ถ้าอุณหภูมิไม่หนาวมากนัก เพียงแค่เสื้อคลุมตัวบางก็เพียงพอแล้ว

8. หลีกเลี่ยงเสื้อผ้าประเภทยีนส์ทั้งหลายแหล่ เพราะนอกจากยีนส์จะมีขนาดใหญ่และน้ำหนักมากแล้ว มันยังดูดซับสิ่งสกปรกได้ง่ายรวมถึงกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ด้วย ดังนั้นหากจะเลือกเสื้อผ้าสำหรับการเดินทาง ตัวเลือกที่ดีที่สุดก็คือเสื้อผ้าที่ทำจากผ้าฝ้ายซึ่งนอกจากจะสวมใส่สบายแล้ว ยังระบายอากาศและซับเหงื่อได้ดีอีกด้วย


9. สิ่งของชิ้นไหนที่สำคัญสำหรับคุณ หากไม่จำเป็นต้องใช้กรุณาอย่าพกติดตัวเดินทางไปด้วยอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค กล้องตัวใหญ่ ขาตั้งกล้อง เป็นต้น เพราะนอกจากคุณจะต้องระมัดระวังมากกว่าปกติแล้ว ยังอาจต้องทนปวดเมื่อยจนหมดสนุกเมื่อต้องแบกมันไว้บนบ่าอยู่ตลอดเวลา

10. ของใช้พื้นฐานสำหรับมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นสบู่ แชมพู โลชั่น ถุงเท้า เสื้อยืด ฯลฯ แทบจะทุกประเทศทั่วโลกล้วนมีขายและราคาไม่แพงมากนัก ดังนั้นหากคุณจะลืมเตรียมสิ่งของพวกนี้ คุณก็สามารถหาซื้อได้สบายๆ

เห็นไหมคะว่า เพียงเทคนิคง่ายๆ ในการจัดกระเป๋าเดินทางที่มัชรูมทราเวลนำมาฝากทั้ง 10 ข้อนี้ คุณก็จะเหลือพื้นที่ว่างในกระเป๋าอย่างเหลือเฟือแล้วล่ะค่ะ จากนี้จะช้อปจะซื้อของเยอะแค่ไหน ก็ไม่ต้องกลัวกระเป๋าระเบิดอีกต่อไปแล้ว 

วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2558

“กงด๋าว” เกาะสวรรค์แห่งทะเลใต้เวียดนาม

ประเทศเวียดนาม ถือเป็นอีก 1 ในชาติอาเซียนที่นักท่องเที่ยวไทยนิยมไปแวะเวียนเสมอตลอดทั้งปี ซึ่งก็เป็นผลมาจากการเดินทางที่ใช้เวลาไม่มากนัก เพียงชั่วโมงเศษๆ เท่านั้นหากเดินทางโดยเครื่องบิน หรือจะเดินทางโดยรถยนต์ก็ได้ข้ามผ่านประเทศลาว นอกจากนี้เวียดนามยังมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจหลายแห่ง ทั้งสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติและสิ่งก่อสร้าง รวมถึงสถานที่ซึ่งกลายมาเป็นมรดกโลกอีกหลายแห่ง อีกทั้งค่าครองชีพยังไม่สูงมากนัก จึงเหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวขาลุยยิ่งนัก

แน่นอนค่ะ... เกริ่นมาซะขนาดนี้มัชรูมทราเวลคงจะไม่พาคุณๆ ไปเที่ยวที่อื่นแน่ๆ นอกจากเวียดนาม เพียงแต่ว่าวันนี้เราจะไม่พาคุณไปสถานที่ท่องเที่ยวที่หลายๆ คนคุ้นเคยกันอยู่แล้วอย่างฮานอย โฮจิมินห์ ฮอยอัน ดาลัด ฯลฯ แต่จะพาคุณไปเที่ยวที่ไหนนั้น ตามไปชมกันเลยค่ะ

รู้จักเกาะกงด๋าว (Con Dao) 



จากท่าอากาศยานนานาชาติเตินเซินเญิ้ต นครโฮจิมินห์ซิตี้ ใช้เวลาเดินทางโดยเครื่องบินเพียง 45 นาทีก็ถึงสนามบินกงด๋าวแล้ว ซึ่งกงด๋าวตั้งอยู่ดินแดนทางตอนใต้สุดของเวียดนาม มีลักษณะเป็นเกาะที่ล้อมรอบไปด้วยเกาะเล็กเกาะน้อยอีกนับสิบๆ เกาะ ที่สำคัญถึงแม้ว่ากงด๋าวจะตั้งอยู่ห่างจากโฮจิมินห์เพียง 230 กิโลเมตร แต่ที่นี่กลับดูคล้ายเป็นอีกโลกหนึ่งซึ่งแตกต่างจากเวียดนามโดยสิ้นเชิง ด้วยความสงบเงียบของเกาะ และทัศนียภาพอันงดงามชวนให้หลงใหล จนแทบไม่อยากเชื่อว่าในอดีตเกาะกงด๋าวแห่งนี้คือที่ตั้งของเรือนจำอันโหดร้ายสำหรับคุมขังนักโทษการเมืองในช่วงเวียดนามยุคอาณานิคมของฝรั่งเศส และอีกครั้งในช่วงสงครามเวียดนาม ที่นี่ก็ได้คุมขังนักโทษสงครามเพื่อใช้งานสร้างท่าเทียบเรือของเกาะ โดยเหตุการณ์ทั้งสองครั้งนั้นเกิดขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1862 และปี 1975


ปัจจุบันภาพความโหดร้ายในอดีตของเกาะกงด๋าวคงเหลือไว้เพียงแค่อาคารร้างที่ถูกล้อมรอบไปด้วยกำแพงหนาเก่าคร่ำคร่า เกาะกงด๋าวเปลี่ยนโฉมใหม่กลายเป็นเกาะสวรรค์ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นหาดทรายธรรมชาติอันเลื่องชื่อซึ่งเป็นที่วางไข่ของเต่าทะเลหายากอีกหลายชนิด และแนวปะการังที่ยังมีสภาพสมบูรณ์ ฯลฯ จน Travel & Leisure นิตยสารด้านการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมสูงสุดในสหรัฐอเมริกา โหวตให้กงด๋าวเป็น 1 ใน 20 เกาะของโลกที่ยังคงความลึกลับมากมาย ถึงแม้ว่าความเจริญจะค่อยๆ ย่างกรายเข้ามาบ้างแล้วก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นสนามบิน หรือรีสอร์ทหรูที่ทยอยเปิดตัวเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะมาเยือนในอนาคต

สถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจในกงด๋าว

วนอุทยานแห่งชาติกงด๋าว

วนอุทยานแห่งชาติกงด๋าวถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เลื่องชื่อในเรื่องของความงดงามของหาดทราย ทั้งยังเป็นที่วางไข่ของเต่าทะเลหายากหลากหลายชนิด นอกจากนั้นทะเลรอบๆ ยังเต็มไปด้วยแหล่งปะการังที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งนั่นก็ทำให้การดำน้ำดูปะการังกลายเป็น 1 ในกิจกรรมยอดนิยมของเกาะแห่งนี้ โดยผู้ที่สนใจการดำน้ำดูปะการัง ที่นี่ก็มีสอนดำน้ำทั้งหลักสูตร  PADI และ SSI โดยครูฝึกสอนชาวอเมริกันที่มีประสบการณ์การดำน้ำในน่านน้ำของประเทศเวียดนาม และมีการดำน้ำในชีวิตประจำวันอย่างสม่ำเสมอในราคา 160 เหรียญสหรัฐฯ ส่วนผู้ที่ดำน้ำเป็นแล้ว ที่นี่ก็มีทัวร์ดำน้ำดูปะการังไว้คอยบริการด้วยในราคา 40 เหรียญสหรัฐฯ รวมค่าอุปกรณ์

พิพิธภัณฑ์การปฏิวัติ
พิพิธภัณฑ์การปฏิวัติแห่งเกาะกงด๋าวตั้งอยู่ภายในบริเวณที่อยู่อาศัยของอดีตผู้บัญชาการฝรั่งเศส ซึ่งพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้มีการจัดแสดงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เวียดนามเมื่อครั้งสงครามต่อต้านฝรั่งเศสและการคุมขังนักโทษทางการเมือง นอกจากนี้นักท่องเที่ยวยังจะได้เห็นภาพวาดการเผชิญหน้ากับความตายของ Vo Thi Sau นักรบหญิงที่อายุน้อยที่สุดในช่วงการปฏิวัติเวียดนามปลายปี 1940 เธอได้เข้าร่วมต่อต้านฝรั่งเศสขณะอายุ 14 ปี

โบราณสถานเรือนจำกงด๋าว

เรือนจำกงด๋าวแห่งนี้เป็นเรือนจำที่ฝรั่งเศสสร้างขึ้นอย่างแน่นหนาและมั่นคงในปี ค.ศ. 1862 โดยมีห้องขังทั้งหมด 348 ห้อง แบ่งออกเป็น 4 เขต แต่ละเขตมีห้องขัง 48 ห้อง เพื่อใช้เป็นสถานกักกันนักโทษในช่วงยุคอาณานิคมฝรั่งเศส ซึ่งนักโทษทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จะถูกจับเปลือยกายและถูกใช้งานอย่างทารุณจนกระทั่งเสียชีวิตไปในที่สุด ปัจจุบันเรือนจำกงด๋าวยังคงได้รับการอนุรักษ์ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นบ้านของผู้บริหารเกาะ สะพานท่าเรือ เขตกักขัง รวมถึงสุสานภายในเรือนจำ

สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการไปเยือนกงด๋าว ช่วงเวลาวิเศษสุดซึ่งเหมาะสำหรับการท่องเที่ยวคือตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ เพราะเป็นช่วงที่ทะเลสงบและไม่มีคลื่นสูง จึงเหมาะสำหรับการดำน้ำดูปะการังเป็นอย่างยิ่ง

วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2558

7 แหล่งท่องเที่ยวแห่งไต้หวัน ที่คุณเองก็เที่ยวได้ไม่ง้อทัวร์

หากพูดถึงไต้หวันในอดีตหลายๆ ปีที่ผ่านมา อาจจะไม่ได้รับความนิยมหรือได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวชาวไทยมากนัก ส่วนใหญ่เราจะได้ยินชื่อของไต้หวันผ่านละครจีนกำลังภายในหรือนักร้องนักแสดงผู้มีชื่อเสียงอย่าง F4 เป็นต้น ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วไต้หวันถือเป็นอีกประเทศหนึ่งในเอเชียที่มีทรัพยากรด้านการท่องเที่ยวที่อุดมสมบูรณ์ไม่แพ้ใคร ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมอันล้ำค่า และธรรมชาติที่สวยงาม อีกทั้งปัจจุบันหลายๆ สายการบิน โดยเฉพาะสายการบินโลว์คอสต์ได้เปิดเส้นทางใหม่กรุงเทพ-ไทเป ซึ่งนั่นก็ทำให้การเดินทางสู่ไต้หวันเป็นเรื่องที่ง่ายดายมากขึ้น รวมถึงการขอวีซ่าไต้หวันนั้นก็ไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิด เพียงเตรียมเอกสารทุกอย่างให้พร้อม ก็มีสิทธิ์ผ่านง่ายๆ ตั้งแต่การขอครั้งแรกเลยทีเดียว




หลังจากเตรียมเอกสารทุกอย่างพร้อมแล้ว การไปเที่ยวไต้หวันก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกแล้วล่ะค่ะ แม้สื่อสารภาษาจีนไม่ได้ก็ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด อีกทั้งการเดินทางภายในไต้หวันยังสะดวกสบายด้วยรถไฟความเร็วสูงอย่าง Taiwan  High Speed Rail หรือ THSR ที่มีความเร็วถึง 300 กม./ชั่วโมง ดังเช่น 7 แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมแห่งไต้หวันที่มัชรูมทราเวลนำมาฝากทุกท่านในวันนี้ นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปเที่ยวเองโดยรถไฟได้ง่ายๆ โดยไม่ง้อทัวร์เลยล่ะค่ะ

ตึกไทเป101 (Taipei101)



ตึกไทเป 101 ถือเป็นความภาคภูมิใจของชาวไต้หวัน และปัจจุบันที่นี่คือแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมแห่งเมืองไทเปที่ไม่ว่าทัวร์เจ้าไหนเป็นต้องพากันมาที่นี่เสมอ อาคารสูงเสียดฟ้าแห่งหนึ่งครั้งหนึ่งมันเคยถือสถิติตึกที่สูงที่สุดในโลกมาแล้วด้วยความสูง 509.2 เมตร ทั้งหมด 101 ชั้น โดยมีชั้นใต้ดินลึกลงไปอีก 5 ชั้น ซึ่งการออกแบบและตกแต่งอาคารแห่งนี้ล้วนแฝงไปด้วยความหมายทั้งสิ้น สำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังตึกไทเป 101 สามารถขึ้นไปชมวิวทิวทัศน์ของเกาะไต้หวันโดยรอบได้ที่ชั้น 89 ซึ่งจะมีเสียงบรรยายและนิทรรศการศิลปะให้ชมด้วยโดยมีค่าเข้าชม 400 $NT นอกจากนั้น จากจุดนี้ยังสามารถเดินขึ้นไปชมดาดฟ้าที่ชั้น 90 หรือลงไปชมลูกตุ้มยักษ์ที่ชั้น 88 ได้ด้วย

ซื่อหลิน ไนท์มาร์เก็ต (Shi Lin Night Market)



ตลาดกลางคืนซื่อหลินคือตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองไทเปที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด เนื่องจากที่นี่มีสินค้าทุกสิ่งให้เลือกซื้อเลือกหาในราคาย่อมเยา นับตั้งแต่เสื้อผ้า เครื่องประดับ กระเป๋า รองเท้า ของที่ระลึก และอาหาร เป็นต้น โดยเฉพาะอาหารขึ้นชื่อของที่นี่อย่างเต้าหู้เหม็นและชานมไข่มุกสูตรต้นตำรับที่นักท่องเที่ยวควรลองชิมดูสักครั้ง ซึ่งการเดินทางมายังซื่อหลิน ไนท์มาร์เก็ตนั้นสะดวกสบายมากเพราะตั้งอยู่ใกล้ๆ กับสถานีรถไฟฟ้า MRT ทำให้ผู้คนที่เดินมาจับจ่ายซื้อของในแต่ละวันค่อนข้างจะหนาตา นักท่องเที่ยวที่มาที่นี่ควรระมัดระวังกระเป๋าและสิ่งของมีค่าของท่านให้ดี

พิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวัน (National Palace Museum)



มาถึงไต้หวันทั้งที ต้องไม่พลาดที่จะเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไต้หวัน ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวันหรือพิพิธภัณฑ์กู้กงซึ่งมีต้นแบบการก่อสร้างมาจากพระราชวังโบราณในกรุงปักกิ่ง ภายในคือที่เก็บวัตถุและผลงานทางศิลปะของขีนโบราณที่มีประวัติยาวนานกว่า 5,000 ปี จำนวนมากกว่า 620,000 ชิ้น จากทุกราชวงศ์ของจีน ทั้งภาพเขียน หนังสือ แผ่นป้าย เครื่องทองแดง เครื่องหยก เครื่องเซรามิก เครื่องเขียนโบราณ เครื่องแกะสลัก งานปัก งานทอ ฯลฯ ทำให้ที่นี่กลายเป็น 1 ในพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก นอกจากนั้นที่นี่ก็ยังมีห้องแสดงหยกแกะสลักอันล้ำค่าซึ่งได้รับการยกย่องว่ามีความงดงามเป็นอันดับ 1 ของโลกให้นักท่องเที่ยวได้ชมอีกด้วย

ป้อมโบราณอันผิง (Anping Old Fort)



ป้อมโบราณอันผิงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อของมหานครไถหนานซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะไต้หวัน ถือเป็นเมืองที่มีความเจริญเพราะมีทั้งสนามบินภายในประเทศและสถานีรถไฟความเร็วสูงที่สามารถเดินทางมาจากไทเปได้ภายในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง โดยมีป้อมโบราณอันผิงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญประจำเมือง ซึ่งป้อมนี้ในสมัยโบราณใช้เป็นที่สำหรับป้องกันการรุกรานของข้าศึกในสมัยที่ฮอลันเข้ายึดครอง หากนักท่องเที่ยวมีโอกาสได้ขึ้นไปด้านบนของป้อม เมื่อมองลงมาก็จะมองเห็นอนุสาวรีย์เจิ้งเฉิงกง ผู้ปกครองเกาะไต้หวันในสมัยโบราณ ทั้งยังเป็นผู้ขับไล่ชาวฮอลันดาออกไปแล้วสถาปนาตัวเองเป็นผู้ปกครองเกาะนี้แทน นอกจากนั้นด้านในป้อมยังมีการจัดแสดงอาวุธของชาวฮอลันดาและของจีน รวมถึงประวัติความเป็นมาของป้อมแห่งนี้ด้วย

วัดขงจื้อ (Taipei Confucius Temple)



จาก MTR สายสีแดงสถานี Yuanshan Station ทางออกที่ 2 จากนั้นให้เดินทางไปทางถนน Kulun Street นักท่องเที่ยวจะมองเห็นกำแพงสีแดงของวัดที่อยู่ฝั่งตรงข้าม และนั่นก็คือวัดขงจื้อแห่งไทเปค่ะ เมื่อนักท่องเที่ยวเดินเข้าไปภายในวัดก็จะพบกับรูปปั้นลิง 3 ตัวปิดหู ปิดตา และปิดปากที่บริเวณสะพานทางเข้าวัด ภายในวัดนอกจากจะมีรูปปั้นและสิ่งต่างๆ ที่สื่อความหมายตามปรัชญาขงจื้อแล้ว ยังมีห้องนิทรรศการเกี่ยวกับพิธีกรรมการไหว้บรรพบุรุษ หุ่นจำลอง และเครื่องดนตรีประเภทต่างๆ ให้ได้ศึกษากันอีกด้วย ทั้งนี้วัดขงจื้อแห่งนี้สร้างขึ้นในปี 1879 ในสมัยราชวงศ์ชิง แต่หลังจากที่โดนญี่ปุ่นเข้ายึดครองและรื้อทำลาย ก็ได้มีการบูรณะขึ้นใหม่ในปี 1925

อุทยานแห่งชาติเขิ่นติ้ง (Kenting National Park)



อุทยานแห่งชาติเขิ่นติ้งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะไต้หวัน มีลักษณะเป็นอุทยานเขตร้อน โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยต่อปีคือ 25 องศาเซลเซียส บนเนื้อที่รวม 32,631 เฮคตาร์ ที่ถูกโอบล้อมไปด้วยทะเลถึง 3 ด้าน คือทางตะวันออกติดกับมหาสมุทรแปซิฟิก ทางตะวันตกติดกับช่องแคบไต้หวัน ทางใต้ติดช่องแคบปาซื่อ ส่วนอีกด้านคือทิศเหนือนั้นติดกับภูเขาหนานเหรินที่อุดมไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่งดงาม นอกจากนั้นภายในอุทยานยังมีศูนย์กิจกรรมสำหรับเยาวชน พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ชายหาดและแนวปะการัง ท่ามกลางป่าไม้เขียวขจีที่รอให้นักท่องเที่ยวได้มาเยี่ยมเยียน

ทะเลสาบสุริยันจันทรา (Sun Moon Lake)



ทะเลสาบสิริยันจันทราตั้งอยู่ทางตอนกลางของเกาะไต้หวัน ที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นทะเลสาบธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดของไต้หวัน ทั้งยังได้รับการขนานนามว่าเป็น "สวิสเซอร์แลนด์แห่งไต้หวัน" ด้วยความงดงามและความโรแมนติกของทะเลสาบแห่งนี้ ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางภูเขาที่รายล้อม และตรงกลางทะเลสาบยังมีเกาะเล็กๆ ที่มีชื่อว่ากวงหวาเต่า ส่วนที่ได้ชื่อว่าสุริยันจันทรานั้นก็เพราะด้านทิศเหนือของทะเลสาบที่มีรูปทรงคล้ายกับพระอาทิตย์ ส่วนด้านทิศใต้นั้นคล้ายกับรูปพระจันทร์เสี้ยว ทำให้นี่นี่กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งนี้ของไต้หวันไปโดยปริยาย

สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวทั้ง 7 แห่งนี้ นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปเยือนได้ง่ายๆ เพียงใช้ THSR Pass เพียงบัตรเดียว ก็สามารถเดินทางท่องเที่ยวโดยรถไฟได้ทั่วไต้หวัน โดยไม่จำกัดทั้งจำนวนเที่ยวและไม่จำกัดสถานีทั่วไต้หวัน ซึ่งได้แก่ 8 สถานีหลักอย่าง Taipei, Banqiao, Taoyuan, Hsinchu, Taichung ,Chiayi, Tainan, และสถานี Zuoying ในราคาเริ่มต้นที่ NT$ 2,400 ซึ่งถ้าหากนักท่องเที่ยวสนใจ สามารถติดต่อได้ที่ มัชรูมทราเวล โทร. 0-2105-6234 กด 4 หรือ Line id @mushroomtravel

สอบถามราคา ตั๋วรถไฟไต้หวัน  

วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2558

Checklist 12 สิ่งควรรู้ ก่อนออกเดินทางสู่โลกกว้าง

สำหรับนักท่องเที่ยวที่กำลังวางแผนจะเดินทางไปท่องเที่ยวยังต่างประเทศและกำลังศึกษาหาข้อมูลอยู่ทั้งในหนังสือคู่มือท่องเที่ยว เว็บไซต์ เว็บบอร์ด หรือจากผู้มีประสบการณ์ตรง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเดินทาง วีซ่า  สถานที่ท่องเที่ยว สภาพอากาศ หรือแม้กระทั่งเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ซึ่งบางท่านก็อาจจะได้รับคำตอบครบถ้วนอย่างที่ต้องการ แต่บางท่านก็อาจจะยังมีคำถามที่ค้างคาในใจ เพราะฉะนั้นวันนี้มัชรูมทราเวลจะมาช่วยคุณเช็คลิสต์ก่อนออกเดินทางค่ะ เพื่อให้คุณทราบว่ามีสิ่งไหนที่จะต้องทำและต้องเตรียมบ้าง ทั้งนี้ก็เพื่อให้การเดินทางของคุณราบรื่นตั้งแต่ต้นจนจบทริปนั่นเอง                                                                                                                                                                                                                    
                                                                                                                                                                   
1. ตรวจสอบวันหมดอายุของหนังสือเดินทางหรือพาสปอร์ต ซึ่งโดยทั่วไปหนังสือเดินทางของคุณควรจะต้องมีอายุเหลือไม่น้อยกว่า 6 เดือนก่อนออกเดินทาง
2. ทำการจองที่พักล่วงหน้าก่อนออกเดินทาง รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญต่างๆ ที่จะต้องเสียค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะหากแผนการเดินทางของคุณอยู่ในช่วงไฮน์ซีซั่นแล้วล่ะก็
3. ติดต่อธนาคารที่คุณเป็นผู้ถือบัตรเครดิตเพื่อสอบถามเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมของการใช้บัตร ณ ประเทศนั้นๆ ที่คุณกำลังจะเดินทางไป รวมถึงหากคุณไม่ทราบรหัสบัตรเครดิต ก็ขอให้ธนาคารส่งรหัสมาให้คุณเพื่อใช้กดเงินในกรณีฉุกเฉินได้


4. การซื้อประกันการเดินทางไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายเพื่อประกอบการยื่นขอวีซ่าหรือเพื่อช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลกรณีฉุกเฉิน เนื่องจากค่ารักษาพยาบาลในต่างประเทศนั้นมีราคาแพงมาก ทั้งนี้ก่อนจะซื้อประกัน นักท่องเที่ยวควรตรวจสอบเสียก่อน ทั้งบริษัทที่รับทำนั้นมีความน่าเชื่อถือหรือไม่ หรือประกันที่จะซื้อนั้นครอบคลุมในทุกเรื่องที่เราต้องการหรือไม่ เป็นต้น
5. กรณีที่ต้องพาเด็กที่ไม่ใช่ลูกไปเที่ยวด้วย ควรต้องแน่ใจว่าได้เตรียมเอกสารพร้อมแล้วรวมทั้งหนังสือเดินทางของเด็กด้วย ที่สำคัญควรจะมีหนังสือยินยอมจากผู้ปกครองของเด็กติดตัวไปด้วย
6. ถ่ายสำเนาเอกสารการเดินทางที่สำคัญเก็บไว้เพื่อกันการสูญหายของต้นฉบับจริง


7. หากนักท่องเที่ยววางแผนจะท่องเที่ยวด้วยตัวเอง และต้องมีการเดินทางโดยรถไฟหรือเครื่องบินภายในประเทศนั้นๆ การวางแผนที่ดีที่สุดก็คือการซื้อตั๋วรถไฟหรือตั๋วเครื่องบินไว้ล่วงหน้า เนื่องจากจะสะดวกกว่าและสามารถวางแผนการเดินทางได้ง่ายกว่า และทำให้สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ด้วย
8. ถ้านักท่องเที่ยวมีความประสงค์ที่จะเช่ารถขับในต่างประเทศเพื่อความข้องตัวยิ่งขึ้น ก็จำเป็นจะต้องมีใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศติดตัวเอาไว้ด้วย โดยสามารถขอใบขับขี่สากลได้ที่กรมการขนส่งทางบก (หมอชิต) อาคาร 4 ชั้น 2 ในวันจันทร์ – วันศุกร์ โดยเตรียมเอกสารดังนี้คือ ใบอนุญาตขับรถพร้อมสำเนา บัตรประชาชนพร้อมสำเนา พาสปอร์ตพร้อมสำเนา สำเนาทะเบียนบ้าน รูปถ่ายหน้าตรงขนาด 2 นิ้ว จำนวน 2 รูป และค่าธรรมเนียม
9. ดาวน์โหลดแอพลิเคชั่นต่างๆ ที่คุณอาจจำเป็นต้องใช้เอาไว้บ้าง เช่น แอพลิเคชั่นแปลภาษา แผนที่ ตารางเวลาขนส่งสาธารณะ เป็นต้น


10. เรื่องของสุขภาพใครว่าไม่สำคัญ ก่อนจะออกเดินทางท่องเที่ยว หากคุณรู้ตัวว่าเป็นอีกคนที่มีปัญหาในเรื่องของสุขภาพหรือโรคประจำตัว ควรจะเข้าพบแพทย์เสียก่อน  ส่วนผู้ที่ไม่ได้มีปัญหาเรื่องสุขภาพก็อย่าเพิ่งชะล่าใจไป ควรเตรียมยาสามัญประจำบ้านติดตัวไว้บ้าง ถือคติว่ากันไว้ดีกว่าแก้ดีที่สุดค่ะ
11. นอกจากจะเก็บสำเนาเอกสารสำคัญติดตัวไว้นอกจากเอกสารตัวจริงแล้ว คุณควรจะฝากเอกสารอีกชุดไว้กับครอบครัวหรือเพื่อนที่ไว้ใจเอาไว้ด้วย
12. เนื่องจากแต่ละสายการบินล้วนมีข้อจำกัดในการนำสิ่งของติดตัวขึ้นเครื่อง อย่างเช่น ขนาดกระเป๋าที่ถือขึ้นเครื่อง จำนวน และน้ำหนัก ดังนั้นนักท่องเที่ยวควรตรวจสอบจากเว็บไซต์หรือตัวแทนผู้จัดจำหน่ายตั๋วเครื่องบินก่อนที่จะเดินทาง เพื่อที่คุณจะได้จัดเตรียมสิ่งของได้ถูกต้องและไม่มีปัญหาในการเดินทางนั่นเอง

มัชรูมทราเวล

วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2558

หมู่เกาะราชาอัมพัต (Raja Ampat) สรวงสวรรค์ของนักดำน้ำ

สำหรับนักท่องเที่ยวที่หลงใหลในความมหัศจรรย์ของโลกใต้ท้องทะเล วันนี้มัชรูมทราเวลจะพาท่านไปเยือนประเทศอินโดนีเซียกันค่ะ ซึ่งที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีหมู่เกาะใหญ่ที่สุดในโลก เนื่องจากประกอบไปด้วยเกาะแก่งต่างๆ มใากมายถึง  17,508 เกาะเลยทีเดียว โดยแบ่งออกเป็น 4 หมู่เกาะใหญ่คือ หมู่เกาะซุนดาใหญ่ หมู่เกาะซุนดาน้อย หมู่เกาะโมลุกะและหมู่เกาะอิเรียนจายาหรือหมู่เกาะปาปัวนิวกินีตะวันตก อันเป็นจุดหมายปลางทางของเราในวันนี้ซึ่งก็คือ “ราชาอัมพัต” หมู่เกาะเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของหมู่เกาะอิเรียนจายานั่นเอง



รู้จัก “หมู่เกาะราชาอัมพัต”

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังมองหาสถานที่สำหรับการดำน้ำที่ดีที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้วล่ะก็ มัชรูมทราเวลขอแนะนำหมู่เกาะราชาอัมพัตให้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีที่สุดของคุณค่ะ โดยหมู่เกาะแห่งนี้ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของคาบสมุทรเบิร์ด เฮดบนเกาะนิวกินีซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่ของจังหวัดปาปัวตะวันตก


ราชาอัมพัตเป็นหมู่เกาะที่มีพื้นที่ครอบคลุม 4,600,000 ไร่ ทั้งบนพื้นดินและทางทะเล โดยชื่อของหมู่เกาะราชาอัมพัต เป็นภาษาอินโดนีเซียอันมีความหมายว่า “ราชาทั้ง  4 พระองค์” ที่บ่งบอกถึงเกาะหลักทั้ง 4 ของหมุ่เกาะ นั่นก็คือ เกาะมิซูล (Misool) เกาะซาลาวาติ (Salawati) เกาะบาตันตา (Batanta) และเกาะไวเกียว (Waigeo) จากจำนวนของเกาะเล็กๆ ทั้งหมดกว่า 1,500 เกาะ ที่ประกอบเป็นหมู่เกาะราชาอัมพัตแห่งนี้ ทั้งนี้ความพิเศษของหมู่เกาะราชาอัมพัตก็คือ ที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นจุดดำน้ำที่ดีที่สุดอีกแห่งหนึ่งของโลก เนื่องจากมีดินแดนสามเหลี่ยมปะการังที่อุดมสมบูรณ์และสวยงามเป็นที่สุด ทั้งยังมีสถานะเป็นเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำของประเทศอินโดนีเซีย ด้วยปะการังที่มีมากกว่า 500 ชนิด ปลาทะเลอีกกว่า 1,300 สายพันธุ์ อย่างเช่น ปลากระเบนราหู ปลาพะยูน ปลาทูน่ายักษ์ ปลากะพง ปลาน้ำดอกไม้ และปลาเฉพาะถิ่น เป็นต้น รวมถึงหอยกว่า 700 ชนิด นอกจากนั้นยังเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของเต่าทะเลถึง 6 ใน 7 สายพันธุ์ที่มีอยู่ในโลกนี้อีกด้วย

เกาะมิซูล (Misool)



เกาะมิซูลคือ 1 ใน 4 เกาะสำคัญที่ตั้งอยู่ทางใต้สุดของหมู่เกาะราชาอัมพัต และอยู่ไม่ไกลจากเกาะมานูกันของมาเลเซียมากนัก ที่สำคัญเกาะมิซูลยังเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เนื่องจากที่นี่เป็นเกาะส่วนตัวอันเป็นที่ตั้งของรีสอร์ทที่มีชื่อว่า “มิซูล อีโค รีสอร์ท” ซึ่งรายล้อมไปด้วยหาดทรายสีขาวเม็ดละเอียด และแนวปะการังหลากสีสัน อันเป็นแหล่งอาศัยของฝูงปลาทะเลสีสวยกว่า 1,200 ชนิด และสัตว์ตระกูลหอยอีกกว่า 699 ชนิด ยังไม่รวมถึงสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลอีกหลายสายพันธุ์ที่อาศัยอยู่อีกจำนวนมาก

เกาะซาลาวาติ (Salawati) 



เกาะซาลาวาติเป็นอีกหนึ่งเกาะหลักของหมู่เกาะราชาอัมพัตซึ่งมีพื้นที่ของเกาะประมาณ 1,623 ตารางกิโลเมตร และมีความสวยงามไม่แพ้เกาะหลักอื่นๆ เช่นเดียวกัน จึงดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากให้มาเยี่ยมชมเกาะหลายหมื่นคนต่อปี ปัจจุบันมีนักธุรกิจหลายคนได้ให้ความสนใจเกาะซาลาวาติ เพื่อจะเข้ามาพัฒนาเกาะแห่งนี้ให้เป็นที่ตั้งของรีสอร์ทที่สวยงามและเต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อรอต้อนรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาพักผ่อนยังเกาะซาลาวาติในอนาคตนั่นเอง

เกาะบาตันตา (Batanta)



เกาะบาตันตาเป็นเกาะที่มีขนาดเล็กที่สุดเมื่อเทียบกับอีก 3 เกาะหลักของราชาอัมพัต แต่มีจุดเด่นที่น่าสนใจก็คือธรรมชาติที่สมบูรณ์ด้วยภูเขาหินที่ตะปุ่มตะป่ำซึ่งปกคลุมไปด้วยป่าฝนอันหนาแน่น ทำให้เกาะบาตันตาแห่งนี้ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวผู้รักธรรมชาติแบบดิบๆ ให้มาเยือนที่นี่ไม่สร่างซา โดยกิจกรรมที่ได้รับความนิยมมากเป็นพิเศษสำหรับนักท่องเที่ยวก็คือการดูนก เพราะที่นี่เป็นที่อยู่อาศัยของนกเฉพาะถิ่นที่มีอยู่หลายสายพันธุ์และหาดูไม่ได้จากที่อื่น

เกาะไวเกียว (Waigeo)



เกาะไวเกียวคือเกาะหลักของราชาอัมพัตและเป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ซึ่งถูกล้อมรอบไปด้วยกำแพงหน้าผาสูงตระหง่าน ทั้งยังเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงของภูมิภาคแห่งนี้ ความพิเศษของเกาะไวเกียวก็คือเป็นเกาะที่เข้าถึงได้โดยง่ายด้วยขนส่งสาธารณะ นอกจากนี้ที่พักก็ยังมีราคาถูกที่สุดเมื่อเทียบกับอีก 3 เกาะที่เหลือ นั่นจึงทำให้เกาะไวเกียวเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวที่ต้องการความท้าทายแต่ไม่ยุ่งยาก โดยกิจกรรมยอดนิยมของเกาะไวเกียวก็คือการดำน้ำดูปะการังและการดูนกนั่นเอง

ทัวร์อินโดนีเซีย

วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2558

7 แหล่งท่องเที่ยวที่ดีที่สุดแห่งกรุงฮานอย เมืองหลวงของเวียดนาม

“ฮานอย” เมืองหลวงเก่าแก่ของประเทศเวียดนามที่มีอายุมากกว่าพันปี ทั้งยังเป็นเมืองหลวงที่มีความสวยงามโดดเด่น ด้วยสองฟากถนนที่เรียงรายไปด้วยตึกอาคารในสไตล์โคโลเนียล ทำให้เมืองฮานอยกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวผู้ที่ชื่นชอบในเรื่องของสถาปัตยกรรมคลาสสิก รวมทั้งศิลปวัฒนธรรมแบบดั้งเดิม อีกทั้งการเดินทางมายังฮานอยก็ยังสะดวกสบาย ไม่ว่าจะทางรถโดยสารประจำทางหรือเครื่องบิน รวมทั้งยังมีแพ็กเกจทัวร์ให้เลือกเดินทางไปยังฮานอยหลากหลายโปรแกรมในราคาที่คุ้มค่า เพราะราคาดังกล่าวนั้นได้รวมทั้งค่าตั๋วเครื่องบิน ที่พัก อาหาร รถโดยสาร และไกด์นำเที่ยวไว้แล้ว ซึ่งวันนี้มัชรูมทราเวลก็จะพาท่านไปพบกับ 7 แหล่งท่องเที่ยวที่ได้ชื่อว่าเป็นที่สุดของเมืองฮานอยกันค่ะ



1. สุสานโฮจิมินห์



สุสานโฮจิมินห์คือสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญแห่งประเทศเวียดนามที่ตั้งอยู่กึ่งกลางจัตุรัสบาสติงห์แห่งเมืองฮานอย ซึ่งสถานที่ตรงนี้เองที่ในอดีตโฮจิมินห์ใช้เป็นสถานที่อ่านคำประกาศอิสรภาพของเขาเมื่อปี ค.ศ. 1945 และในปัจจุบันที่นี่ก็ได้กลายมาเป็นที่ตั้งสุสานของท่าน โดยการก่อสร้างนั้นได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากสุสานของเลนินในกรุงมอสโก ผสมผสานกับสถาปัตยกรรมเวียดนามอย่างลงตัว กลายมาเป็นสุสานโฮจิมินห์ที่ยิ่งใหญ่ด้วยความสูงถึง 21.6 เมตรในปัจจุบัน นอกจากนั้นที่นี่ยังกลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม เนื่องจากภายในสุสานมีโลงแก้วที่เก็บรักษาร่างของโฮจิมินห์ไว้ภายในเพื่อให้คนรุ่นหลังได้รู้จักกับผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเวียดนามนั่นเอง ทั้งนี้ผู้ที่ต้องการมาเยือนที่นี่ต้องแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อย งดเว้นการสวมใส่กางเกงหรือกระโปรงสั้น ห้ามพูดคุยส่งเสียงดัง และยังห้ามสูบบุหรี่ภายในบริเวณ รวมถึงการถ่ายรูปและบันทึกวิดีโอด้วย

2. พิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์วิทยาเวียดนาม



สำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนเวียดนามแล้วหลงใหลในวัฒนธรรมของชาวเวียดนามจนอยากศึกษาถึงความเป็นมานับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันแล้วล่ะก็ ต้องเดินทางมาที่นี่เลยค่ะ “พิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์วิทยาเวียดนาม” ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองฮานอยประมาณ 8 กิโลเมตร โดยพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้แบ่งออกเป็นทั้งหมด 2 ส่วน คือส่วนแรกจะเป็นพิพิธภัณฑ์แบบปิดซึ่งอยู่ในตัวอาคาร 2 ชั้น ภายในมีการจัดนิทรรศการเรื่องราวเกี่ยวกับชาติพันธุ์ของชาวเวียดนามที่มีถึง 54 กลุ่ม โดยใช้สื่อผสมทั้งภาพถ่าย วัตถุ วิดีทัศน์ หุ่นจำลอง เป็นต้น สำหรับส่วนที่ 2  เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่จัดแสดงบ้านจำลองของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ อีกทั้งยังสามารถเข้าไปชมภายในบ้านได้ ภายในจะมีเจ้าหน้าที่คอยเตรียมน้ำชาไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วย

3. วิหารวรรณกรรมวันเหมียว



วิหารวรรณกรรมวันเหมียว หรือวัดจอหงวน คือที่เที่ยวอีกแห่งในฮานอยที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด เนื่องจากเป็นวัดโบราณที่มีประวัติความเป็นมาอย่างยาวนานเกือบพันปี อีกทั้งยังมีสถานะเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของเวียดนามอีกด้วย โดยวิชาที่สอนก็จะเป็นวิชาปรัชญาของขงจื๊อ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม เป็นต้น จนกระทั่งปลายศตวรรษที่ 18 จึงได้ปิดตัวลงและถูกทิ้งให้รกร้างว่างเปล่า จนกระทั่งปัจจุบันที่นี่ได้รับการบูรณะซ่อมแซมขึ้นใหม่และกลายเป็นสถานที่ที่รวบเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และการศึกษาของเวียดนามที่สำคัญที่สุดในเมืองฮานอยก็ว่าได้ นอกจากนั้นภายในวิหารวรรณกรรมแห่งนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์ศิลปกรรม ที่รวบรวมผลงานด้านศิลปะทุกแขนงนับตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบันไว้มากมาย

4. โรงละครหุ่นกระบอกน้ำ



การแสดงหุ่นกระบอกน้ำถือเป็นวัฒนธรรมที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครของวัฒนธรรมพื้นบ้านของชาวเวียดนามที่ปัจจุบันหาชมได้ค่อนข้างยาก เพราะเหลือเพียงไม่กี่คณะเท่านั้นที่ยังทำการแสดงอยู่ โดยโรงละครหุ่นกระบอกน้ำตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของของทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม บนถนนดิงห์เตียมฮว่าง ณ กรุงฮานอย สนนราคาค่าเข้าชมท่านละ 20,000 และ 40,000 ดอง โดยภายในโรงละครจะมีฉากที่ตกแต่งในแบบฉบับสถาปัตยกรรมเวียดนามซึ่งทำด้วยไม้ไผ่เป็นผืนมู่ลี่กางไว้ในระดับผิวน้ำ ส่วนการแสดงหุ่นกระบอกน้ำนั้นจะมีผู้ควบคุมหุ่นอยู่ในน้ำข้างหลังฉาก โดยเรื่องราวในการแสดงก็จะเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต ประเพณี ความเชื่อของชาวเวียดนาม เป็นต้น

5. เจดีย์เสาเดียว



เจดีย์เสาเดียว หรือจั่วโหมดโกด เป็นเจดีย์ขนาดเล็กที่ตั้งอยู่บนเสาต้นเดียวกลางสระบัว ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสุสานโฮจิมินห์มากนัก ที่นี่ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1409 ตามคำสั่งของกษัตริย์หลีไทตง ซึ่งมีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับประวัติของเจดีย์เสาเดียวแห่งนี้ว่า พระเจ้าหลีไทตงกษัตริย์ผู้ครองฮานอยทรงกลัดกลุ้มเนื่องจากยังไม่มีรัชทายาทสืบสันติวงศ์ จนกระทั่งคืนหนึ่งพระองค์ก็ได้สุบินเห็นเจ้าแม่กวนอิมประทับอยู่ในดอกบัวได้พาพระองค์เดินทางไปที่ศาลแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่กลางสระบัว จากนั้นจึงส่งทารกเพศชายในอ้อมกอดให้พระองค์ และหลังจากเหตุการณ์ความฝันครั้งนั้นไม่นานพระชายาของพระองค์ก็ทรงให้กำเนิดพระโอรสจริงๆ พระองค์จึงโปรดให้สร้างเจดีย์เสาเดี่ยวนี้ขึ้นเพื่อถวายแด่องค์เจ้าแม่กวนอิมนั่นเอง ปัจจุบันชื่อเสียงของเจดย์แห่งนี้ทำให้มีผู้มาอธิษฐานขอให้ได้ลูกชายมากมายในแต่ละวัน

6. โอลด์ควอเตอร์ ย่านเมืองเก่าแห่งกรุงฮานอย



ย่านโอลด์ควอเตอร์คือย่านเมืองเก่าในกรุงฮานอยที่มีเอกลักษณ์ซึ่งบ่งบอกถึงความเป็นเวียดนามในแบบดั้งเดิมได้อย่างชัดเจน ทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ชอบมาเดินชมบรรยากาศความเก่าแก่และช้อปปิ้งสินค้าราคาประหยัดตามถนนตรอกซอกซอยที่ทอดยาวทับซ้อนกันถึง 36 ซอย โดยในแต่ละซอยก็จะมีทั้งร้านอาหารพื้นเมือง ร้านขายของเก่า ร้านค้าแผงลอยที่ส่วนใหญ่จะขายสินค้าแตกต่างกันออกไปในแต่ละซอย อย่างเข่นของที่ระลึก เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับ งานฝีมือ ฯลฯ ที่สำคัญสินค้าที่นี่ยังสามารถต่อรองได้อีกด้วย

7. โรงละครฮานอย



โรงละครฮานอย หรือ Hanoi Opera House เป็นโรงละครกลางเมืองฮานอยที่ตั้งอยู่ในบริเวณวงเวียนห้าแยกตรงหัวมุมถนน Ly Thai To ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยที่เวียดนามยังเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสระหว่างปี ค.ศ. 1901 – 1911 โดยมีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่คล้ายกับโรงอุปรากรปาแลการ์นีเยแห่งกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส บวกกับสถาปัตยกรรมกรีกโดยจะสังเกตได้จากต้นเสาของโรงละครนั่นเอง นอกจากนั้นภายในโรงละครยังตกแต่งอย่างหรูหรางดงาม สามารถจุคนดูได้ถึง 900 ที่นั่ง และปัจจุบันที่นี่ยังมีการจัดการแสดงอย่างสม่ำเสมอ โดยการแสดงส่วนใหญ่จะเน้นไปดีการแสดงดนตรีคลาสสิก เป็นต้น

วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2558

3 แหล่งช้อปปิ้งชื่อดังแห่งเกาะฮ่องกงที่นักช้อปไม่ควรพลาด

เมื่อพูดถึงเกาะฮ่องกง แน่นอนว่าเราก็มักจะคิดถึงสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอย่างฮ่องกงดิสนีย์แลนด์, วิคตอเรียพีค, อะเวนิว ออฟ สตาร์, โอเชี่ยนปาร์คฮ่องกง, วัดหว่องไท่ซิน ฯลฯ หรือหากเป็นในช่วงนี้ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลลดทั้งเกาะ  ก็ดูจะเหมาะสำหรับขาช้อปชาวไทยทั้งหลายที่นอกจากจะได้เที่ยวแล้วยังได้ช้อปปิ้งสินค้าราคาถูกที่ 1 ปีจะมีเพียงครั้งเดียว นั่นก็คือในช่วงเดือนกรกฎาคมจนถึงเดือนสิงหาคมเท่านั้นเอง เอ... แล้วถ้าหากนักท่องเที่ยวพลาดช่วงเทศกาลลดทั้งเกาะไปแล้วล่ะจะมีแหล่งขายสินค้าราคาถูกตรงไหนในฮ่องกงให้ช้อปได้บ้าง วันนี้มัชรูมทราเวลจะพาคุณไปรู้จักกับ 3 ไนท์มาร์เก็ตชื่อดังแห่งเกาะฮ่องกง ที่บอกได้คำเดียวว่า “พลาดไม่ได้” ค่ะ                    
         

1. Ladies Market

Ladies Market คือตลาดกลางคืนยอดนิยมแห่งหนึ่งบนถนน ถนน Tung Choi Street ในย่าน Mong Kok ซึ่งเปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เที่ยงวันยันเที่ยงคืนกันเลยล่ะค่ะ โดยตลาดแห่งนี้จะเต็มไปด้วยร้านรวงขนาดเล็กมากกว่า 100 ร้านค้าเต็มพรืดไปหมด ทั้งนี้สินค้าส่วนใหญ่จะเน้นทาร์เก็ตสำหรับหญิงสาวโดยเฉพาะตามชื่อของตลาดนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องประดับ เครื่องสำอาง กระเป๋า ของตกแต่งบ้าน ตุ๊กตา ของที่ระลึกน่ารักๆ เป็นต้น ที่สำคัญคุณสาวๆ ที่มาช้อปยังตลาดแห่งนี้ยังสามารถต่อรองราคาสินค้าได้อีกด้วย ทำให้ผู้มาเยือนยิ่งมีความสนุกในการเลือกซื้อหาสินค้ามากยิ่งขึ้นไปอีก
 

How to get there: จากโรงแรมที่พัก ให้นั่งรถไฟฟ้า MTR มายังสถานี Mong Kok ทางออก E2 หรือลงที่สถานี Yau Ma Tei ทางออก A2 จากนั้นจึงเดินไปยังถนน Tung Choi Street ก็จะพบกับ Ladies Market แล้ว

2. Temple Street Night Market

หลังจากไปช้อปปิ้งที่ Ladies Market  มาแล้ว อีกแห่งที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดเช่นกันก็คือ Temple street Market ซึ่งน่าจะเรียกว่าเป็นตลาดสำหรับคุณผู้ชายก็ว่าได้ เพราะที่นี่จะเน้นขายสินค้าสำหรับผู้ชายเป็นส่วนใหญ่อย่างเช่นสินค้าจำพวกกระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้า นาฬิกา ของเล่น ของสะสม ของที่ระลึก นอกจากนี้ก็ยังมีสินค้าประเภทอุปกรณ์ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ภายในบ้าน รวมทั้งร้านอาหารทะเลราคาถูกให้ได้แวะชิมกันอีกด้วย โดย Temple street Market เปิดให้บริการสำหรับนักช้อปทุกวัน ตั้งแต่เวลาประมาณ 18.00 – 24.00 น. ส่วนเรื่องของราคาสินค้าของที่นี่ บางร้านนักท่องเที่ยวสามารถต่อรองราคาได้มากถึงครึ่งต่อครึ่งเลยทีเดียว
 

 How to get there: Temple Night Street Market ตั้งอยู่บนบนถนน Temple Street ย่าน Yau Ma Tei ระหว่างสถานี MRT Yau Ma Tei กับสถานี Jordan สามารถเดินทางไปได้โดยการนั่งรถไฟฟ้าไปลงที่สถานี Yau Ma Tei ทางออก C จากนั้นเดินกลับหลังย้อนกลับขึ้นไปแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนน Temple Street

3. Sneaker Street

สำหรับสถานที่สุดท้ายสำหรับขาช้อปที่มัชรูมทราเวลจะขอแนะนำทุกท่านในวันนี้ก็คือ Sneaker Street หรือตลาดรองเท้าคุณภาพดีราคาถูกที่ใหญ่ที่สุดในเกาะฮ่องกง เรียกได้ว่าเป็นสวรรค์ของคนรักรองเท้าก็ว่าได้ โดยรองเท้าที่วางขายที่นี่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นรองเท้าแฟชั่นและรองเท้าผ้าใบยี่ห้อดังหลากหลายแบรนด์ ทั้งยี่ห้อ Adidas, Nike, Acupuncture, New Balance, Onitsuka Tiger เป็นต้น นอกจากนั้นที่นี่ยังมีอุปกรณ์กีฬาอื่นๆ รวมถึงสินค้าประเภทกระเป๋า เสื้อผ้า ของที่ระลึกให้ได้ช้อปปิ้งกันอย่างหนำใจอีกด้วย ซึ่ง Sneaker Street เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เที่ยงวันจนถึง 21.30 น.
 

How to get there: Sneaker Street ตั้งอยู่บนถนน Fa Yuen Street ย่าน Mong Kok ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาได้ง่ายๆ โดยการนั่งรถไฟฟ้า MTR สายสีแดงมาลงที่สถานี Mong Kok ทางออก D3 จากนั้นจึงเดินเท้าเข้าสู่ถนน Fa Yuen Street

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับ 3 แหล่งช้อปปิ้งยามค่ำคืนชื่อดังแห่งเกาะฮ่องกงที่มัชรูมทราเวลนำมาฝากทุกท่าน หวังว่าคงจะถูกใจกันนะคะ อย่างไรก็แล้วแต่มัชรูมขอเตือนนักช้อปอย่างหนึ่งว่า ช้อปน้อยๆ แต่พอดี มองหาสิ่งที่เราต้องการที่สุดเสียก่อน ไม่งั้นกระเป๋าจะน้ำหนักเกินไม่รู้ตัวนะเจ้าคะ

วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

7 ย่านท่องเที่ยวสำคัญในสิงคโปร์ที่นักเที่ยวมือโปรไม่ควรพลาด

สิงคโปร์ ประเทศซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ ที่ตั้งอยู่นอกปลายทิศใต้ของคาบสมุทรมลายู ซึ่งปัจจุบันประเทศสิงคโปร์ถือเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยก็ว่าได้ นอกจากนั้นในเรื่องของการท่องเที่ยว สิงคโปร์ยังเป็นประเทศต้นๆ ที่นักท่องเที่ยวไทยนิยมไปเยือนมากที่สุดในแต่ละปี โดยส่วนใหญ่ก็นักท่องเที่ยวก็นิยมไปช้อปปิ้ง ไปเที่ยวสิงคโปร์ยูนิเวอร์แซลสตูดิโอ เกาะเซนโตซ่า มาริน่าเบย์ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม นอกจากสถานที่หลายๆ แห่งดังกล่าวมาแล้วในข้างต้น สิงคโปร์ยังมีย่านท่องเที่ยวต่างๆ ให้คุณได้ไปเยือนอีกมากมาย ดังเช่นที่มัชรูมทราเวลนำมาฝากทุกท่านในวันนี้


ย่านจูเชียต (Joo Chiat)



ย่านจูเชียตถือเป็นย่านหมู่บ้านชาวมาเลย์ ที่เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากเรียนรู้และสัมผัสกับวัฒนธรรมของคนมาเลย์แท้ๆ ที่อาศัยอยู่ในสิงคโปร์  โดยหมู่บ้านแห่งนี้ได้นำเสนอเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณี รวมถึงงานฝีมือ อาหาร การจัดแสดงโชว์ทางวัฒนธรรมของคนเมเลเซียแท้ๆ ให้ชมและชิมทุกวัน โดยอากหารมาเลย์ที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดก็ได้แก่นกกระทาทอด นาสิ ปาดัง เป็นต้น


ย่านถนนออร์ชาร์ด (Orchard road)



สำหรับนักช้อปตัวยงแล้วล่ะก็ ย่านถนนออร์ชาร์ดคือย่านที่ท่านพลาดไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง เพราะที่นี่เรียกได้ว่าเป็นสวรรค์แห่งการช้อปปิ้งของสิงคโปร์ก็ว่าได้ เนื่องจากเป็นย่านถนนที่เต็มไปด้วยห้างสรรพสินค้า ร้านค้า ร้านอาหาร และโรงแรมหลากหลายระดับตั้งแต่หัวถนนจรดปลายถนน ทำให้ที่นี่ไม่ว่าจะเช้า สาย บ่าย หรือเย็นก็มักจะคลาคล่ำไปด้วยนักช้อปหลากหลายเชื้อชาติอยู่เสมอ โดยห้างสรรพสินค้าในย่านถนนออร์ชาร์ดมีอยู่มากมาย ทั้ง Takashimaya, Paragon, The Heeren, Wisma Atria, Scotts Shopping Center,  Luky Plaza, Far East Plaza, Tudor Court, Tanglin Shopping Center, Delfi Orchard, Forum Galleria, Pacific Plaza, Tangs, Orchard Point, Centerpoint, Plaza Singapura, Park Mall, Le meridien Shopping Center เป็นต้น


ย่านบูกิส (Bugis)



ย่านบูกิสเป็นย่านที่อยู่ไม่ไกลจากย่านถนนออร์ชาร์ดมากนัก นอกจานั้นที่พักและร้านอาหารที่อยู่ในย่านนี้ยังมีราคาไม่แพงมากนักหากเทียบกับย่านอื่นๆ ที่สำคัญบูกิสยังตั้งอยู่ในเขตศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม ดังนั้นนักท่องเที่ยวที่มาเยือนย่านบูกิสส่วนใหญ่ก็จะมาชมพิพิธภัณฑ์แห่งชาติสิงคโปร์ พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งชาติสิงคโปร์ ตึกเอสพลานาด เป็นต้น  นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่ชอบเดินทางมายังย่านบูกิสก็เนื่องจากมีร้านอาหารราคาถูกมากมายให้ได้เลือกรับประทานตลอดสองข้างทางตลอด 24 ชั่วโมงนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นร้าน Kopitiam หรือร้าน S-11 Eating House ซึ่งล้วนแต่เป็นร้านดังในย่านนี้ นอกจากนั้นจุดเด่นของย่านบูกิสก็ยังมี Arub Street, Bugis Junction และ Bugis Market

มารีน่าเบย์ (Marina Bay)




มารีน่าเบย์คือพื้นที่ริมอ่าวมารีน่าที่ตั้งอยู่ทางใต้ของประเทศสิงคโปร์ซึ่งรัฐบาลได้ใช้เงินจำนวนกว่า 35 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการพัฒนารอบๆ อ่าวให้กลายเป็นศูนย์ท่องเที่ยวศึกษาธรรมชาติที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งใช้เป็นพื้นที่สาธารณะสำหรับจัดงานแสดงและกิจกรรมต่างๆ ซึ่งปัจจุบันมารีน่าเบย์นั้นถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในสิงคโปร์เลยทีเดียว เพราะนอกจากจะเป็นที่ตั้งของสิงโตทะเลอันเป็นสัญลักษณ์แห่งการท่องเที่ยวสิงคโปร์ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายภาพเป็นที่ระลึกแล้ว ภายในย่านนี้ยังเต็มไปด้วยโรงแรมระดับห้าดาว สถานที่ช้อปปิ้งขนาดใหญ่ และสถานที่พักผ่อนหย่อนใจอีกมากมาย

ท่าเรือคลาร์กคีย์ (Clarke Quay)



ท่าเรือคลาร์กคีย์ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำสิงคโปร์ซึ่งมีประวัติยาวนานกว่า 150 ปี ในฐานะที่เป็นท่าเทียบเรือเก่าแก่ที่ใช้ขนถ่ายสินค้าจากสำเภาโบราณที่แล่นมาจากทั้งตะวันออกและตะวันตก ทำให้สองฝั่งแม่น้ำเต็มไปด้วยโกดังสินค้ามากมาย แต่เมื่อเวลาผ่านไป ปัจจุบันหากพูดถึงย่านแฮงก์เอ้าท์ยอดนิยมแล้วล่ะก็ คงหนีไม่พ้นย่านคลาร์กคีย์แน่ๆ เพราะรัฐบาลสิงคโปร์ได้เปลี่ยนท่าเรือเก่าแห่งนี้ให้กลายเป็นแหล่งไนท์ไฟล์ที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งในสิงคโปร์เลยทีเดียว โดยปรับเปลี่ยนโกดังเก็บสินค้าให้กลายเป็นร้านค้าและร้านอาหารที่มีสีสันสวยงาม ดึงดูดให้นักท่องราตรีนิยมมาเยือนที่นี่มากมายในแต่ละคืน

ย่านลิตเติ้ล อินเดีย (Little India)



ลิตเติ้ลอินเดียคือย่านชุมชนของคนอินเดียที่มีเอกลักษณ์คือ เมื่อนักท่องเที่ยวมาถึงก็จะได้กลิ่นเครื่องเทศอบอวลไปทั่วบริเวณเป็นอย่างแรก เนื่องจากย่านนี้จะค่อนข้างเต็มไปด้วยร้านขายเครื่องเทศที่ตั้งเรียงรายอยู่ริมถนน รวมถึงอาหารอินเดีย และพวงดอกไม้หลากสีสันอยู่เต็มไปหมด บรรยากาศภายในย่านแห่งนี้นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับความเป็นอินเดียแบบดั้งเดิมอย่างแท้จริง นักท่องเที่ยวนิยมมาย่านนี้นอกจากต้องการเดินชมบรรยากาศแบบแขกๆ แล้ว  ห้างสรรพสินค้า Little India Arcade ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน เนื่องจากเป็นห้างฯ ที่ขายสินค้าที่เป็นอินเดียแบบแท้ๆ รวมถึงการเที่ยวชมมัสยิดอับดุล กัฟเฟอร์ และมุสตาฟา เซ็นเตอร์ ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาซื้อน้ำหอมราคาถูก เสื้อผ้า และขนมของฝากที่เปิดให้ช้อปตลอด 24 ชั่วโมง เป็นต้น

ไชน่าทาวน์ (China Town)



ไชน่าทาวน์สิงคโปร์เริ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1821 ซึ่งเป็นช่วงที่มีเรือสำเภาจีนลำแรกเดินทางเข้ามาที่สิงค์โปร์  และต่อจึงมาได้มีการเปิด Chinatown ขึ้นอย่างเป็นทางการในปี 1828 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งไชน่าทาวน์สิงคโปร์ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวในสิงค์โปร์ที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด เพราะนอกจากที่นี่จะมีร้านค้าขายสินค้าประเภทต่าง ๆ วางขายอยู่ริมถนนไปตลอดสองข้างทางแล้ว ก็ยังมีสถานที่สำคัญ ๆ ทางประวัติศาสตร์อีกมากมายหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นศูนย์วัฒนธรรม Chinatown Heritage Centre ที่นำเสนอประวัติศาสตร์ของชุมชนชาวจีนแห่งนี้นับตั้งแต่เริ่มอพยพมาสู่สิงคโปร์ รวมถึงวัดฮินดูอันเก่าแก่อย่าง Sri Mariamman Temple วัดจีน Buddha Tooth Relic ซึ่งโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมสมัยราชวงค์ถังที่สวยงาม เป็นต้น