วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2557

6 เทคนิคประหยัดรายจ่ายในการท่องเที่ยว... ที่ใครก็สามารถทำได้

หากพูดถึงเรื่องของการ แน่นอนล่ะว่าทุกคนรักการเดินทางท่องเที่ยวและอยากไปเที่ยวบ่อยๆ แต่ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เราไม่สามารถทำได้อย่างที่ใจฝันก็คือเรื่องของการเงิน เพราะการเดินทางในแต่ละครั้งไม่ว่าจะใกล้หรือไกล จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล นั่นจึงทำให้เรื่องท่องเที่ยวสำหรับคนส่วนใหญ่กลายเป็นเรื่องที่ต้องขบคิดอย่างหนักเลยทีเดียว ยิ่งในยุคที่เศรษฐกิจไม่ใคร่จะเฟื่องฟูอย่างในปัจจุบันด้วยแล้ว การท่องเที่ยวจึงถูกมองเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยที่เหมาะสำหรับผู้มีอันจะกินเท่านั้น อย่างไรก็ดี วันนี้มัชรูมทราเวลมี 6 เทคนิค ที่จะช่วยให้นักเดินทางสามารถประหยัดรายจ่ายสำหรับการท่องเที่ยวไม่ว่าจะในประเทศหรือต่างประเทศได้ง่ายๆ ดังต่อไปนี้


1. ค้นหาข้อมูลก่อนออกเดินทาง

เมื่อคุณกำหนดจุดหมายปลายทางที่ต้องการได้แล้ว สิ่งที่จะต้องทำต่อไปก็คือการศึกษาหาข้อมูล ซึ่งไม่ใช่แค่การหาข้อมูลของสถานที่ท่องเที่ยวว่าที่ไหนสวย ที่ไหนน่าไป หรือร้านอาหารร้านไหนอร่อยเท่านั้น แต่ควรหาข้อมูลเกี่ยวกับเอกสารที่จำเป็นต้องใช้ในกรณีท่องเที่ยวยังต่างประเทศด้วย  ซึ่งหากต้องขอวีซ่า ก็ต้องดูด้วยว่าระหว่างการขอผ่านตัวแทนกับยื่นสถานทูตด้วยตนเองนั้นอันไหนจะสะดวกและประหยัดมากกว่ากัน รวมไปถึงศึกษาแผนที่และเส้นทางแต่ละจุดอย่างละเอียด โดยอาจค้นหาด้วยตัวเองจากเว็บบอร์ดสาธารณะ อ่านจากหนังสือคู่มือการท่องเที่ยว หรืออาจจะปรึกษาบริษัททัวร์ก็ได้เช่นเดียวกัน ซึ่งนั่นก็เพื่อให้การท่องเที่ยวของคุณราบรื่น และยังสามารถวางแผนการใช้เงินให้คุ้มค่าได้อีกทางหนึ่งด้วย

2. ประเมินรายจ่ายที่จำเป็นต้องใช้สำหรับการท่องเที่ยวในแต่ละครั้ง

หลังจากได้ข้อมูลตามที่ต้องการแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือวางแผนทางการเงินที่จะต้องใช้จ่ายตลอดทั้งทริป ซึ่งรวมถึงค่าตั๋วเครื่องบินและค่าโรงแรมที่พักด้วย โดยประเมินสิ่งจำเป็นที่ต้องจ่าย แล้วคำนวณค่าใช้จ่ายออกมากเป็นตัวเลขคร่าวๆ เช่น ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่ายานพาหนะ ค่าบัตรเข้าชมการแสดงและกิจกรรมต่างๆ ค่าทิป ค่าของใช้ส่วนตัวเล็กๆ น้อยๆ ค่าของฝากของที่ระลึก เป็นต้น จากนั้นเมื่อถึงเวลาของการเดินทาง ในท่องเที่ยวควรจะติดสมุดบันทึกเล่มเล็กติดตัวไปด้วย เพื่อจดบันทึกสรุปค่าใช้จ่ายจริงในแต่ละวัน ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้คุณสามารถควบคุมการใช้เงินได้ง่ายยิ่งขึ้น

3. พิจารณาเลือกข้อเสนอที่ดีกว่า

ปัจจุบันธุรกิจทางด้านการท่องเที่ยวมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งสิ่งที่ตามมาก็คือการแข่งขันทางการตลาดที่รุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของราคา และโปรโมชั่นต่างๆ ทำให้ลูกค้าที่จะซื้อบริการเป็นผู้ได้เปรียบจากการแข่งขันนี้ และมีอำนาจในการต่อรองเพิ่มสูงขึ้นด้วย ดังนั้นก่อนที่นักท่องเที่ยวจะซื้อบริการ หรือจองห้องพัก ฯลฯ ควรมีการตรวจสอบราคาจากหลายๆ แห่งก่อนเดินทางประมาณ 2-3 เดือนเพื่อเปรียบเทียบกันเสียก่อนตัดสินใจซื้อ ซึ่งข้อเสนอที่ดีกว่าอาจจะไม่ได้หมายถึงเฉพาะราคาที่ถูกกว่าเท่านั้น แต่ต้องมองถึงความคุ้มค่าที่จะได้รับด้วย เช่นโรงแรมบางแห่งอาจจะมีโปรโมชั่นจองห้องพัก2 คืน ฟรี 1 คืน เป็นต้น


4. กำหนดช่วงเวลาและสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับเงินในกระเป๋า

แม้ว่าช่วงไฮซีซั่นหรือช่วงลองวีคเอนจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการท่องเที่ยว แต่ก็เป็นช่วงเวลายอดนิยมที่ผู้คนมากมายเลือกที่จะท่องเที่ยวด้วยเช่นเดียวกัน ทำให้ราคาของสิ่งต่างๆ พุ่งสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งราคาตั๋วเครื่องบิน ที่พัก ค่าทัวร์สำหรับกิจกรรมและการเข้าชมสถานที่ต่างๆ หรือแม้กระทั่งอาหารการกินที่มีราคาแพงกว่าปกติเป็นเท่าตัว ดังนั้นหากหลีกเลี่ยงการท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซั่นแล้วเลือกเดินทางไปในช่วงโลว์ซีซั่น นอกจากจะได้ราคาที่ถูกมากๆ แล้ว ก็ยังจะได้เห็นเสน่ห์ที่แตกต่างของสถานที่นั้นๆ ซึ่งคนทั่วไปไม่มีโอกาสได้เห็นก็เป็นได้ อย่างไรก็ตาม บางสถานที่อาจมีข้อยกเว้นสำหรับการเที่ยวในช่วงโลว์ซีซั่น อย่างเช่นหมู่เกาะต่างๆ ที่หากเป็นนอกฤดูกาลท่องเที่ยวจะเป็นช่วงมรสุม เป็นต้น    

5. ระมัดระวังข้อเสนอที่ราคาถูกจนเหลือเชื่อ

แน่นอนหากพูดถึงของถูกและของฟรี ใครกันล่ะจะไม่ชอบ แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง ของที่มีราคาถูกมากๆ นั้น เปอร์เซ็นต์ที่จะเป็นของดีมีคุณภาพอาจมีความเป็นไปได้ไม่ถึง 10% ด้วยซ้ำ อย่างการจองโรงแรมออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ต่างๆ ซึ่งโรงแรมบางแห่งอาจมีราคาที่ถูกอย่างน่าเหลือเชื่อเมื่อเทียบกับภาพถ่ายที่ถูกอัพโหลดมาเพื่อการโฆษณา จนดึงดูดให้เราต้องกดจองห้องพักอย่างว่องไวโดยไม่แม้แต่จะอ่านคอมเม้นท์รีวิวของลูกค้าที่เคยเข้าไปพัก ก่อนจะรู้ตัวทีหลังว่าภาพห้องพักสุดหรูที่เราเห็นบนเว็บไซต์นั้น แท้จริงคือภาพถ่ายเมื่อประมาณ 20-30 ปีที่แล้ว แต่สภาพปัจจุบันอาจจะแย่จนคุณต้องหิ้วกระเป๋ามองหาที่พักแห่งใหม่แทบจะทันทีก็เป็นได้ นอกจากนี้การหลงใหลกับราคาที่ถูกแสนถูกก็อาจจะทำให้คุณตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพบางประเภทโดยไม่รู้ตัว

6. ปฏิเสธการจ่ายที่เกินจริง

บางสถานที่ที่มีการรวมตัวของนักท่องเที่ยวมากๆ ที่นั่นก็ย่อมตกเป็นเป้าหมายของมิจฉาชีพที่แฝงตัวมาในคราบของผู้ให้บริการเช่นเดียวกัน อย่างสนามบิน สถานีรถไฟ รวมทั้งสถานีขนส่งที่จะมีรถรับจ้างคอยดักรอนักท่องเที่ยวอยู่มากมาย ซึ่งถ้าคุณโชคไม่ดี ก็อาจเจคนขับรถที่โก่งราคาเกินจริงหลายเท่า ทางที่ดีควรตรวจสอบเส้นทางและการเดินทางในแต่ละจุดเสียก่อน หรือหากมีข้อสงสัยควรสอบถามที่เคาน์เตอร์ Information เพื่อขอข้อมูลการเดินทาง รวมถึงรถรับจ้างบางคันอาจได้รับค่าหัวคิวจากร้านอาหารบางแห่งให้พาลูกค้าเข้าร้าน โดยคิดราคาค่าอาหารแพงกว่าปกติเพื่อหักเป็นค่าหัวคิว เป็นต้น  


วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2557

พิชิตยอดภูเขาไฟโบรโม่ อัญมณีแห่งชวาตะวันออก

หากพูดถึงภูเขาไฟ แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ก็คงจินตนาการถึงความน่าเกรงขาม และความน่ากลัวเมื่อภูเขาไฟเกิดการระเบิดและพ่นลาวาสูงเฉียดฟ้า ทั้งๆ ที่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง ภูเขาไฟถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าพิศวงด้วยมีทัศนียภาพที่สวยงามซับซ้อน ดูน่าค้นหายิ่งนัก


เพราะฉะนั้นวันนี้มัชรูมทราเวล จึงจะพาทุกท่านเดินทางสู่ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อไปยังภูเขาไฟโบรโม่ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นอัญมณีบนมงกุฎของชวาตะวันออก อีกทั้งที่นี่ยังถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย โดยภูเขาไฟโบรโม่คือหนึ่งในภูเขาไฟที่ยังดับไม่สนิทจาภูเขาไฟทั้งหมดประมาณ 400 ลูกของอินโดนีเซีย ที่มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเลถึง 2,392 เมตร ซึ่งเคยเกิดระเบิดมาแล้วถึง 3 ครั้ง ภายในระยะเวลาเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ครั้งล่าสุดที่ภูเขาไฟโบรโม่เกิดการระเบิดก็คือเมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2004 ที่ผ่านมา นอกจากนี้มันยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยว 1 ใน 10 แห่งอินโดนีเซียที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดอีกด้วย


เปิดประตูสู่ความมหัศจรรย์แห่งธรรมชาติ


บนเนินเขาสูงกว่า 40 กิโลเมตร บนชายฝั่งทางตอนเหนือของหมู่เกาะชวาตะวันออก เมื่อนักเดินทางเพื่อมุ่งสู่ภูเขาไฟโบรโม่  จำเป็นที่จะต้องผ่านหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยเถ้าถ่านและหมอกควันจากภูเขาในแถบนี้ที่ไม่ใช่แค่จากบรูโม่เท่านั้น เพราะภายในแถบนี้ยังเป็นที่ตั้งของภูเขาไฟที่ยังไม่มอดดับอยู่อีก 2 ลูกด้วยกัน  และสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางไปชมความงามอันน่ามหัศจรรย์ของภูเขาไฟโบรโม่ ส่วนใหญ่จะรีบเดินทางมาให้ถึงที่หมายก่อนฟ้าสาง เพื่อให้ทันเวลาก่อนที่พระอาทิตย์จะสาดแสงแห่งความสว่างไสวไปทั่วพื้นพิภพนั่นเอง


และสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีเป้าหมายที่จะพิชิตยอดภูเขาไฟโบรโม่  เส้นทางยอดนิยมก็คือการเดินทางจากสุราบายาสู่  เมืองโปรโบลิงโก้ แล้วไปต่อที่หมู่บ้านเซโมโร ลาวัง จากนั้นจึงพักค้างแรมที่นี่หนึ่งคืน เพื่อให้ทันกับการไปชมพระอาทิตย์ในช่วงเช้านั่นเอง รวมถึงการชมปากปล่องภูเขาไฟโบรโม่ด้วย โดยเซโมโร ลาวังเป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่บนความสูงเหนือระดับน้ำทะเลถึง 2,000 เมตร มีอุณหภูมิหนาวเย็นในช่วงเวลากลางคืนและช่วงเช้ามืด ดังนั้นนักท่องเที่ยวที่มาเยือนจำเป็นจะต้องพกพาเสื้อหนาวหรือกางเกงขายาวมาด้วยเป็นอย่างน้อย นอกเหนือจากเสื้อผ้าที่เหมาะสมสำหรับการปีนเขาหรือการเดินเท้าในระยะไกลๆ

Getting there 


เส้นทางการเดินทางสู่ภูเขาไฟโบรโม่ถือเป็นอีกหนึ่งเส้นทางยอดนิยมของนักเดินทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มของนักเรียนมัธยมในพื้นที่ ที่ใช้เส้นทางนี้ในการเข้าค่ายสันทนาการ นอกจากนั้นก็ยังเป็นเส้นทางท่องเที่ยวยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติผู้ที่รักการผจญภัยเช่นเดียวกัน โดยนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางมายังภูเขาไฟโบรโม่ หากไม่เลือกซื้อทัวร์ก็สามารถเดินทางมาด้วยตัวเองได้หลากหลายเส้นทาง แต่เส้นทางที่สะดวกสบายและได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือการเดินทางจากจุดเริ่มต้นที่ Juanda International Airport เมืองสุราบายาซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ใกล้กับภูเขาไฟโบรโม่มากที่สุดนั่นเอง 


1. นั่งแอร์พอร์ตบัสจาก Juanda International Airport ไปยังสถานีขนส่ง Bungur Asih เพื่อเดินทางต่อไปยังเมืองโปรโบลิงโก้ ก่อนจะต่อรถไปยังหมู่บ้านเซโมโร ลาวังที่ตั้งอยู่บริเวณขอบปากของแอ่งภูเขาไฟซึ่งเป็นหนทางสู่ภูเขาไฟโบรโม่ ทั้งนี้ค่าโดยสารสำหรับรสบัสด่วนปรับอากาศนั้นอยู่ที่ราคาประมาณ 25,000 รูเปียต่อคน ส่วนรถบัสธรรมดาราคาอยู่ที่ 14,000 รูเปียต่อคน และใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 2-3 ชั่วโมง 

2. เมื่อเดินทางถึงเมืองโปรโบลิงโก้ นักท่องเที่ยวต้องต่อรถมินิบัสสีเขียวเพื่อไปยังหมู่บ้านเซโมโร ลาวังในราคาค่าโดยสารประมาณ 250,000-300,000 รูปเปียต่อคน (ขึ้นอยู่กับการต่อรอง) โดยมินิบัสนี้จะมีทั้งหมด 10 ที่นั่ง และรถจะออกเดินทางทันทีเมื่อมีผู้โดยสารขึ้นเต็มรถบัส ซึ่งบางครั้งอาจต้องรอนานถึง 2 ชั่วโมงเลยทีเดียว ดังนั้นหากนักท่องเที่ยวเดินทางถึงเมืองโปรโบลิงโก้หลังเวลา 16.00 น. ควรจะหาที่พักค้างแรมภายในเมืองและเดินทางในตอนเช้าจะดีกว่า เนื่องจากในช่วงเย็นนั้นเป็นไปได้ยากที่จะมีผู้โดยสารเต็มคันรถ 


ส่วนการเดินทางเพื่อขึ้นไปชมปากปล่องภูเขาไฟโบรโม่ นักท่องเที่ยวจำเป็นจะต้องขี่ม้าหรือเดินขึ้นไป แต่ม้าจะสามารถไปส่งถึงเพียงแค่ไหล่เขาเท่านั้น ช่วงถัดไปนักท่องเที่ยวจะต้องเดินตามขั้นบันไดขึ้นไปด้วยตัวเองในระยะทางประมาณ 200 เมตร โดยในระหว่างทางจะมีที่พักให้ได้นั่งพักเหนื่อยเป็นจุดๆ ซึ่ง กิจกรรมที่นักท่องเที่ยวนิยมและชื่นชอบมากที่สุดเมื่อเดินทางถึงยอดภูเขาไฟโบรโม่ก็คือ การเดินบนขอบปากปล่องภูเขาไฟนั่นเอง โดยเส้นทางจะมีลักษณะเป็นสันกว้าง นักท่องเที่ยวสามารถเดินได้โดยรอบ แต่อาจต้องใช้ความระมัดระวังมากสักหน่อยเนื่องจากขอบปากปล่องภูเขาไฟนั้นเป็นสันทรายที่ค่อนข้างลื่น นอกจากนั้นยังมีความเชื่ออีกหนึ่งอย่างก็คือ การซื้อดอกไม้จากชาวบ้านที่นำขึ้นมาขายแล้วอธิษฐานถึงสิ่งที่ต้องการแล้วโยนลงไปในปากป่องภูเขาไฟ อันเป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมจากคู่รักหนุ่มสาวที่เดินทางมาเยือนที่นี่ที่ต่างขอให้ความรักของตนสมหวังและครองรักกันตราบชั่วนิรันด์นั่นเอง
ทัวร์อินโดนีเซีย

วันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2557

6 สุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวแห่งมหานครไทเป

มหานครไทเป คือเมืองหลวงของไต้หวันที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะ โดยมีสถานะเป็นเมืองศูนย์กลางของการเมืองการปกครอง และเศรษฐกิจมวลรวมของประเทศอีกด้วย นอกจากนั้นไทเปยังเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญต่างๆ อีกมากมาย อย่างเช่น วัดวาอารามอายุหลายร้อยปี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอันเลื่องชื่อ ตึกไทเป 101 ซึ่งเคยเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลก เป็นต้น ไม่เพียงแต่ที่กล่าวมาในข้างต้นเท่านั้น แต่ไทเปยังประกอบไปด้วยระบบรถไฟฟ้าที่สะดวกรวดเร็ว อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติตามแนวภูเขาไฟอันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพรรณและสัตว์ป่าหลากหลายชนิด ให้นักท่องเที่ยวและชาวไทเปได้มาพักผ่อนหย่อนใจในบรรยากาศสีเขียวอีกด้วย


สำหรับในเรื่องของการท่องเที่ยว มหานครไทเปถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจในทวีปเอเชีย ซึ่งนักท่องเที่ยวควรไปเยือนเป็นอย่างยิ่ง เพราะนอกจากค่าครองชีพจะไม่สูงเวอร์จนเกินไปแล้ว ไทเปยังเป็นเมืองที่ผสมผสานระหว่างธรรมชาติและสิ่งที่มนุษย์สรรค์สร้างขึ้นได้อย่างลงตัว ดังเช่น 6 สุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวแห่งมหานครไทเป ที่มัชรูมทราเวลนำมาฝากทุกท่านในวันนี้นั่นเอง

น้ำพุร้อนเป่ยโถว 



ในบริเวณพื้นที่ด้านหน้าของ MRT สถานีสวนสาธารณะนิวเป่ยโถวกลางกรุงไทเป ที่นี่เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์น้ำพุร้อนเป่ยโถว ซึ่งเป็นเขตอาณาบริเวณของภูเขาไฟซาเม่าที่พ่นไอกำมะถันออกมาตลอดทั้งปี ภายในพิพิธภัณฑ์น้ำพุร้อนเป่ยโถว เมื่อนักท่องเที่ยวเดินเข้าไปภายในก็จะพบกับอาคารพิพิธภัณฑ์ซึ่งเป็นห้องอาบน้ำแบบญี่ปุ่นจัดแสดงสิ่งของและภาพถ่าย ที่อธิบายถึงความเป็นมาของบ่อน้ำพุร้อนในไต้หวันและที่อาบน้ำสาธารณะในสมัยดั้งเดิม รวมถึงสื่อการแสดงที่นำเสนอเกี่ยวกับบ่อน้ำพุร้อนเป่ยโถวอีกด้วย ส่วนภายนอกก็จะเป็นบึงน้ำสีฟ้าที่มีอุณหภูมิอยู่ที่ 52-75 องศาเซลเซียส ประกอบไปด้วยธาตุกำมะถันที่ช่วยรักษาอาการปวดตามเส้นประสาท โรคผิวหนัง และโรคปวดข้อ จึงทำให้ที่นี่คลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทเปและชาวต่างชาติอยู่ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในช่วงกลางคืนที่บริเวณนี้จะดูสวยงามมากเป็นพิเศษ ส่วนใครที่ต้องการความเป็นส่วนตัว ที่นี่ก็มีห้องพักในสไตล์ญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมพร้อมอ่างอาบน้ำส่วนตัวไว้บริการด้วย 


Getting There: นักท่องเที่ยวที่ต้องการไปเยือนน้ำพุร้อนเป่ยโถว สามารถเดินเท้าจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินนิวเป่ยโถวไปถึงบริเวณที่ตั้งของน้ำพุร้อนได้เลย 

เมืองตันสุ่ย



ตันสุ่ยเป็นอีกหนึ่งสถานที่แห่งการพักผ่อนหย่อนใจที่ดีที่สุดในไต้หวัน โดยเฉพาะตลาดกลางคืนที่กลายเป็นถนนคนเดินยอดนิยม และวิวพระอาทิตย์ตกดินของที่นี่นั้นถือว่ามีชื่อเสียงที่สุดในไต้หวันกันเลยทีเดียว โดยตันสุ่ยถือเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางปากแม่น้ำตันสุ่ยซึ่งมีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน โดยเริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1858 ด้วยการเปิดท่าเรือแห่งชาที่แรกทางตอนเหนือของไต้หวัน นั่นจึงทำให้ปัจจุบันที่นี่ยังคงหลงเหลือภาพความทรงใจในอดีตอันรุ่งเรือง รวมไปถึงตึกรามบ้านช่องในสไตล์ตะวันตกของชาวดัตช์ในอดีตที่ยังคงมีให้เห็นอยู่ประปราย 


Getting There: นักท่องเที่ยวที่ต้องการมาเยือนตันสุ่ย สามารถเดินทางมาได้ง่ายๆ ด้วยการนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีแดงมาลงที่สถานีตันสุ่ย หรือหากเป็นการโดยสารทางเรือ ก็สามารถต่อรถบัสสีแดงหมายเลข 26 จากท่าเทียบเรือประมงได้เลย

เมืองจีหลง



นี่คือเมืองท่าที่สำคัญที่สุดทางภาคเหนือของไต้หวัน ตั้งอยู่ปลายแหลมเหนือสุดของประเทศ โดยจีหลงถือเป็นเมืองท่าแห่งหนึ่งที่มีการขนส่งทางทะเลอย่างคับคั่ง ซึ่งในอดีตนั้น จีหลงเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางด้านการคมนาคมขนส่ง และยังมีฐานะเป็นฐานทัพที่สำคัญของไต้หวันอีกด้วย นอกจากนั้นจีหลงยังมีความสำคัญทางด้านวัฒนธรรม ประกอบกับมีภูมิประเทศที่สวยงามโดดเด่น จึงทำให้ที่นี่กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญโดยเฉพาะในช่วงแห่งการเฉลิมฉลองสารทจีน ซึ่งตามตรอกซอกซอยต่างๆ จะเต็มไปด้วยร้านอาหารทะเลอยู่แน่นขนัด ไม่เพียงเท่านั้น ท่าเรือจีหลงซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณปากแม่น้ำตันสุ่ยยังได้ชื่อว่าเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่มีชื่อเสียงมากอีกแห่งหนึ่ง อีกทั้งในบริเวณฝั่งแม่น้ำยังมีร้านอาหาร ร้านกาแฟไว้คอยบริการ และมีสวนสาธารณะขนาดใหญ่ไว้สำหรับการพักผ่อนหย่อนใจอีกด้วย


Getting There: นักท่องเที่ยวสามารถนั่งรถไฟออกจากเมืองไทเปเพื่อไปยังจีหลงได้เลย นอกจากนั้นยังมีรถบัสที่ออกจากสถานีหลักไทเปให้บริการอีกด้วย 

หมู่บ้านอูไหล



หมู่บ้านอูไหลถูกแต่งตั้งให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งเมืองไทเปตั้งแต่ยุค 70 ด้วยสภาพแวดล้อมที่หลบซ่อนจากความวุ่นวายของเมืองไทเปในบรรยากาศแบบชนบท ท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงามของภูเขาและน้ำตก นอกจากนั้นภายในหมู่บ้านอูไหลยังมีการแสดงวัฒนธรรมของชนเผ่าไทหยาจู และการทอผ้าแบบดั้งเดิมให้ชมด้วย รวมถึงยังมีร้านอาหาร ร้านขายสินค้าพื้นเมืองให้นักท่องเที่ยวได้จับจ่ายอีกมากมาย เพียบพร้อมทั้งรีสอร์ทชั้นดี สปาสุดหรู และบ่อน้ำพุร้อนไร้สีและไร้กลิ่นให้ได้ผ่อนคลายความเมื่อยล้าอย่างเต็มที่ และเนื่องจากหมู่บ้านอูไหลแห่งนี้ไม่ไกลจากไทเปมากนัก จึงทำให้ชาวไทเปชอบที่จะมาเที่ยวหมู่บ้านแห่งนี้อยู่เป็นประจำ    


Getting There:  ทุกๆ วันจะมีรถบัสสาย 1061 ไว้คอยบริการ ซึ่งจะเดินทางออกจากสถานี MRT Xindian ทุกๆ 15-30 นาที และใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 40 นาที เพื่อมายังหมู่บ้านอูไหล 

เมืองผิงซี



ผิงซีคือเมืองเล็กๆ ที่มีชื่อเสียงด้วยการเป็นสถานที่จัดงานลอยโคมซึ่งเป็นประเพณีที่สำคัญของชาวไต้หวัน โดยมีระยะของการจัดงานในแต่ละครั้งนานถึง 1 สัปดาห์ โดยการลอยโคมนี้ในอดีตใช้เพื่อเป็นการส่งสัญญาณเตือนภัยให้แก่ชาวเมือง แต่ปัจจุบันประเพณีนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของสันติภาพของชาวไต้หวัน ซึ่งในแต่ละปีจะมีผู้เดินทางเข้ามาร่วมงานอย่างครับครั่ง ภายในเมืองจะเต็มไปด้วยร้านค้าต่างๆ มากมายเปิดขายสินค้าอยู่เต็มท้องถนน โดยเฉพาะโคมแบบต่างๆ ที่มีสีสันและลวดลายอันสวยงาม นอกจากนั้นบางแบบยังแฝงลูกเล่นเพื่อยั่วตายั่วใจนักช้อปอีกมากมายหลายแบบ ทำให้ทุกค่ำคืนของที่นี่ในช่วงเทศกาลลอยโคม เต็มไปด้วยแสงไฟที่สวยงามและมีเสน่ห์น่าค้นหาอย่างที่สุด นอกจากนั้นผิงซียังมีพื้นที่สำหรับกิจกรรมการเดินป่า และชมความงามของน้ำตกจิวเฟิ่นอันเลื่องชื่ออีกด้วย  


Getting There:  จากอำเภอมู่จ้าในเมืองไทเป ให้นั่งรถเมล์สาย 15 หรือ 16 หรือจากเร่ยฟาง แล้วนั่งรถเมล์สายจีหลงไปยังผิงซี หรือนั่งรถไฟสายอี้หลันไปโฮตง จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นสายปิงสีไปยังเมืองผิงซี

หมู่บ้านโบราณจิวเฟิ่น



หมู่บ้านโบราณจิวเฟินนี้ตั้งอยู่บนไหล่เขาไม่ไกลจากเมืองไทเปมากนัก และเป็นถนนคนเดินเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งในไต้หวัน ซึ่งในอดีตหมู่บ้านแห่งนี้เคยเป็นที่ร่อนทองของเหมืองทองคำมาก่อน ต่อมาภายหลังในสมัยที่ญี่ปุ่นได้เข้ามาปกครองเกาะไต้หวัน ก็ได้เข้ามาขุดทองและสร้างที่นี่ให้เป็นเหมืองทองคำ จนกระทั่งทองคำหมด ที่นี่ก็ถูกทิ้งร้างอยู่นานหลายปี จนเมื่อผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังแห่งไต้หวันได้เลือกที่นี่ให้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ จึงทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันมีชื่อเสียงนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยภายในหมู่บ้านจิวเฟิ่นนั้นมีตลาดเก่าให้นักท่องเที่ยวได้เดินเล่นและช้อปปิ้งอย่างสนุกสนาน ประกอบกับทิวทัศน์ที่สวยงามของมหาสมุทรแปซิฟิกและน้ำแร่ทองซึ่งแร่ธาตุในน้ำส่องประกายให้น้ำตกกลายเป็นสีทอง นักท่องเที่ยวที่เดินทางสู่มหานครไทเปจึงไม่ควรพลาดที่จะไปเยือนหมู่บ้านแห่งนี้ดูสักครั้ง


Getting There:  จากช่องทางออกที่ 1 ของสถานีรถไฟใต้ดินไทเป สถานีจงเชี่ยว-ฝู่ชิง นักท่องเที่ยวสามารถนั่งรถเมล์สาย1062 เพื่อไปยังจิวเฟิ่น