วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เที่ยวปักกิ่ง ถิ่นมังกร ตอน 1

หากคุณปรารถนาไปเที่ยว เมืองจีน ชื่นชอบโบราณสถาน แหล่งอารยะธรรม เพียบพร้อมไปด้วยประวัติศาสตร์ยาวนาน แต่ไม่รู้ว่าควรไปเที่ยวเมืองใดของถิ่นมังกร “มัชรูมทราเวล” แนะนำให้เที่ยว “ปักกิ่ง” เมืองหลวงยิ่งใหญ่ของพญามังกร



ชาวจีนเรียก ปักกิ่ง ว่า “เป่ย์จิง” (Beijing) มีชื่อย่อว่า “จิง” ตั้งอยู่ที่ภาคตะวันตกเฉียงเหนือของที่ราบหวาเป่ย ด้านหน้าของเมืองเป็นแม่น้ำ ด้านหลังเป็นภูเขา แสดงถึงการป้องกัน ศัตรูรุกราน มีความมั่นคง สองข้างทางของเมืองมีต้นไม้ชื่อ ต้นหยาง พบปลูกตลอดสองข้างทางในเมืองและนอกเมือง ลักษณะพิเศษของใบต้นหยาง มองดูคล้ายกับว่ามีรูปตาอยู่ทุกใบ เวลาที่ลมพัดเห็นชัดมาก เปรียบเสมือนเป็นตัวแทนของสายตานับพันคู่ที่คอยดูแลปกป้องบ้านเมืองให้สงบสุข



ปักกิ่ง มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน เป็นเมืองหลวงตั้งแต่สมัยราชวงศ์หยวน สืบทอดมาจนกระทั่งปัจจุบัน สมัยก่อนประวัติศาสตร์ได้มีการขุดค้นพบกระโหลกมนุษย์ปักกิ่ง ซึ่งตามหลักฐานที่พิสูจน์ได้นี้ แสดงให้เห็นว่า ปักกิ่ง มีความเจริญรุ่งเรืองตั้งแต่สมัย คริสต์ศตวรรษที่ 13 และในปี ค.ศ.1421 จักรพรรดิหย่งเล่อได้ก่อตั้ง ออกแบบวางผังเมือง และได้ย้ายฐานราชการชั่วคราวจากเมืองหนานจิงมายัง เป่ยผิง ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น เมืองปักกิ่ง



ปัจจุบัน ปักกิ่ง แบ่งเป็น 16 เขต 2 อำเภอ เป็นนครที่ขึ้นตรงต่อส่วนกลาง พื้นที่ทั่วนครเป่ยจิงมีถึง 16,800 ตารางกิโลเมตร และเป็นเขตการปกครองพิเศษแบบมหานคร 1 ใน 4 แห่งของจีน ซึ่งมีฐานะเทียบเท่ากับมณฑลหลังจากปักกิ่งได้รับการจัดตั้งเป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี 1949 เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่อันดับ2 ของประเทศจีนรองจากเซี่ยงไฮ้ และได้รับเลือกให้จัดการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อนปี 2551 ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา



ปักกิ่ง มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย ชาวปักกิ่งมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อาคารบ้านเรือนจากเดิมที่อยู่กันอย่างแออัด ได้เปลี่ยนเป็นอาคารสูง และชีวิตความเป็นอยู่ที่ได้รับอิทธิพล วัฒนธรรมจากตะวันตกมากขึ้น จากบรรยากาศที่เคร่งขรึมในยุคของจีนคอมมิวนิสต์ กลายเป็นเมืองที่มีเสน่ห์แห่งหนึ่งในเอเชีย

มหานครปักกิ่ง แห่งนี้ เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ ความทันสมัย อาหารอร่อย อากาศที่แตกต่างกัน ร้อน ฝน เย็น หนาว หิมะ หมอกหนาปกคลุมทั้งเมือง สร้างบรรยากาศอันน่าหลงใหล ประทับใจหลายสถานที่ท่องเที่ยว เช่น จัตุรัสเทียนอันเหมิน กำแพงเมืองจีน พระราชวังฤดูร้อน พระราชวังต้องห้าม วัดลามะ หอฟ้าเทียนถาน เป็นต้น


ปักกิ่ง มีสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์มากมาย ทำให้ในแต่ละปีมีชาวต่างชาติจากทั่วทุกมุมโลกจำนวนมากเดินทางเข้าไปท่องเที่ยว ปักกิ่ง ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางการค้า การลงทุน ทางการเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา วิทยาศาสตร์ วัฒนธรรมของจีน และเขตชุมทางการคมนาคมทั่วประเทศจีน เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อดังทั้งในประเทศจีนและในโลก



การเดินทางจาก กรุงเทพฯ-ปักกิ่ง ไม่ค่อยยุ่งยาก เพราะคุณสามารถเดินทางโดยเครื่องบินได้หลายสายการบิน เปิดบริการทุกวัน ลองเปรียบเทียบราคาและตารางเที่ยวบิน มีทั้งที่บินตรงและแวะพักเมืองอื่นก่อน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5-7 ชั่วโมง

ถ้าต้องการความสะดวกสบาย แนะนำให้ซื้อแพคเก็จทัวร์เที่ยวปักกิ่งกับบริษัททัวร์ได้เลย 5 วัน 3 คืน ราคาประมาณ 30,000 บาท/ท่าน รวมอาหาร-ที่พัก-ที่เที่ยวเรียบร้อย หรือไปเที่ยวเอง คุณก็ต้องไปขอวีซ่า ทำพาสปอร์ตให้เรียบร้อยก่อนนะจ๊ะ เรื่องการขอวีซ่านั้นก็ไม่ค่อยยุ่งยาก ของ่าย เพราะประเทศจีนเขาเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวชาวไทยเดินทางท่องเที่ยวเข้าประเทศเขาอยู่แล้ว




สำหรับ การขนส่งมวลชนภายในปักกิ่ง นั้น มีให้เลือก ดังนี้

1.รถประจำทาง
ราคาประหยัดดี แต่ค่อนข้างแออัดในชั่วโมงเร่งด่วนหน่อยนะจ๊ะ เพราะรถอาจจอดตามป้ายที่ระบุสายที่จอดเท่านั้น ระยะทาง 12 กิโลเมตร คิดที่ 1 หยวน ถ้าเกินกว่านั้นทุกๆ 5 กิโลเมตร ค่าโดยสารเพิ่มขึ้น 0.5 หยวน หากคุณมีบัตร IC card ให้แปะบัตรที่แป้นด้านหน้า หากไม่มี คุณก็ต้องแจ้งสถานที่ที่จะไปกับเจ้าหน้าที่เก็บเงินบนรถ หรือหยอดเงินลงตู้เก็บเงินแล้วรับตั๋วจ้า

2.รถประจำทาง
มีหลายสายครอบคลุมทุกเส้นทาง ค่าโดยสารเริ่มต้นที่ 1 หยวน ขึ้นอยู่กับระยะทาง ส่วน รถบัสท่องเที่ยวไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ทั้งในเมืองและนอกเมือง ราคาเดียวตลอดสายประมาณ 40 - 50 หยวนจ้า



3.รถไฟฟ้า
รถไฟใต้ดิน ที่ปักกิ่ง ก่อสร้างทางรถไฟใต้ดินเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ปีค.ศ.1965 และแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ปีค.ศ.1969 โดยมีสถานีรถไฟทั้งหมด 17 แห่งและมีระยะทางทั้งหมด 23.6 กิโลเมตร หากคุณเลือกเดินทางโดยรถไฟใต้ดินในปักกิ่ง สะดวก รวดเร็วดี เพราะมีป้ายบอกทางต่าง ๆ เป็นภาษาอังกฤษอย่างชัดเจนมีทั้งหมด 9 สาย เปิดตั้งแต่ตีห้าถึงเที่ยงคืน โดยรถไฟฟ้าใต้ดินของปักกิ่งวิ่งในเมืองเท่านั้น และวิ่งนอกเมืองเป็นรถไฟลอยฟ้า ระบบรถไฟฟ้าเหมือนกับกรุงเทพฯ จ้า เปิดบริการตั้งแต่ 05.15 - 22.40 น.



4.รถแท็กซี่ เป็นทางเลือกที่สะดวก รวดเร็วดี ราคาค่าโดยสารก็สูสีกันกับค่ารถแท็กซี่ในกรุงเทพฯ การเรียกรถแท็กซี่ในปักกิ่งก็ไม่ยุ่งยากอะไร ยืนริมถนนหาที่เหมาะๆ ก็เรียกจอดได้เลยจ้า แต่ก่อนคุณจะขึ้นรถ ให้สังเกตด้วยว่ารถแท็กซี่คันนั้นมีบัตรประจำตัวผู้ขับอยู่หน้ารถหรือไม่ ถ้าไม่มีบัตร เป็นรถแท็กซี่เถื่อน และควรเรียกคันอื่นที่มีบัตรประจำตัวผู้ขับดีกว่า และเมื่อถึงที่หมาย หลังจ่ายเงินค่ารถแล้ว คุณจะได้รับใบเสร็จจากเครื่องออก


อย่างไรก็ตาม หากคุณเดินทางมาเที่ยวเมืองปักกิ่ง แนะนำว่าให้ ตรวจสอบอากาศและฤดูกาลท่องเที่ยวก่อนมาเที่ยวที่นี่ด้วยจ้า เพราะเมืองปักกิ่ง มีหลากหลายฤดูกาล



• กันยายน – ตุลาคม: ฤดูใบไม้ร่วง
• ปลายเมษายน – กลางมิถุนายน: ฤดูใบไม้ผลิ
• มิถุนายน – ปลายสิงหาคม: ฤดูร้อน
• กรกฎาคม – สิงหาคม: ฤดูฝน
• พฤศจิกายน – มีนาคม: ฤดูหนาว หิมะ




เดือน                อุณหภูมิสูงสุด               อุณหภูมิต่ำสุด
ม.ค.                  2.0 °C                              -9.0 °C
ก.พ.                  4.0 °C                               -7.0 °C
มี.ค.                  11.0 °C                             -1.0 °C
เม.ย.                 20.0 °C                             -7.0 °C
พ.ค.                  26.0 °C                            13.0 °C
มิ.ย.                   30.0 °C                            18.0 °C
ก.ค.                   31.0 °C                            22.0 °C
ส.ค.                   30.0 °C                            20.0 °C
ก.ย.                   26.0 °C                            14.0 °C
ต.ค.                  19.0 °C                             7.0 °C
พ.ย.                  10.0 °C                             0.0 °C
ธ.ค.                   3.0 °C                             -7.0 °C


การเดินทางมา เที่ยวปักกิ่ง ยังไม่จบนะจ๊ะ แต่มีกิจกรรมต่างๆ โปรดติดตามตอนต่อไปใน “เที่ยวปักกิ่ง ถิ่นมังกร ตอน 2”  นะจ๊ะ

เที่ยวปักกิ่ง ถิ่นมังกร ตอน 2

ปักกิ่ง ในวันนี้ได้เปลี่ยนแปลงจากอดีต มีความทันสมัยเข้ามาแทนที่ พร้อมๆ กับการเป็นมหานครชั้นนำของโลก แต่ด้วยรากทางวัฒนธรรมและประวัติอันยิ่งใหญ่ยาวนานฝังลึก ทำให้ ปักกิ่ง ยังคงเป็นมหานครที่มีมนต์เสน่ห์ เย้ายวนให้นักท่องเที่ยวเดินทางเยี่ยมเยือนเมืองหลวงของพญามังกรแห่งนี้



ในวันนี้ “มัชรูมทราเวล” ขอแนะนำ กิจกรรมในปักกิ่ง นั่นคือ การชิมอาหารจีนอร่อยๆ, นั่งสามล้อชมเมืองหูถ้ง เมืองโบราณน่ารัก แบบธรรมชาติๆ, ชมแสดงพื้นเมืองงิ้วและกายกรรมปักกิ่ง, เล่นสโนว์ เวิลด์ ปักกิ่ง และตบท้ายด้วยการช็อปปิ้งสิ้นค้าน่ารักๆ ราคาไม่แพงตามแหล่งยอดฮิตของเมืองปักกิ่ง อยู่ที่ไหนบ้าง ไปดูกันจ้า ^-^

เที่ยวปักกิ่ง ถิ่นมังกร ตอน 3

หากคุณมีโอกาศได้ไปเยือน เมืองปักกิ่ง เมืองหลวงของถิ่นมังกร ที่ประวัติอันแสนยาวนานตั้งแต่สมัยราชวงศ์หยวน สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้ ปักกิ่ง มีสถานที่สำคัญทางประวัติศาตร์น่าสนใจมากมาย ลองไปดูกันว่า มีที่เที่ยวไหนบ้าง ^-^


จัตุรัสเทียนอันเหมิน
จัตุรัสเทียนอันเหมิน จัตุรัสใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ใจกลางกรุงปักกิ่ง มีเนื้อที่ 44 เฮกตาร์ เป็นสัญลักษณ์์ของกรุงปักกิ่ง มีความยาวตั้งแต่ทิศเหนือจรดทิศใต้ 880 เมตร ทิศตะวันออกจรดทิศตะวันตก 500 เมตร พื้นที่ทั้งสิ้น 440,000 ตารางเมตร สามารถจุประชากรได้ถึง 1,000,000 คน สร้างเมื่อปี ค.ศ. 1417 มีชื่อเดิมว่า "เฉิงเทียนเหมิน" ในสมัยจักรพรรดิซุ่นจื้อแห่งราชวงศ์หมิง มีการซ่อมแซมใหม่ในปี ค.ศ. 1651 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "เทียนอันเหมิน" คำว่า ‘เทียน’ แปลว่า ฟ้า ‘อัน’ แปลว่า ผาสุก ‘เหมิน’ แปลว่า ประตู



ปัจจุบัน จัตุรัสเทียนอันเหมิน ใช้จัดงานเฉลิมฉลอง เนื่องในโอกาสพิเศษต่าง ๆ ที่บริเวณจตุรัสเทียนอันเหมิน และอาคารล้อมรอบ ประกอบด้วยอนุสาวรีย์วีรชน หอระลึกประธานเหมาเจ๋อตง พิพิธภัณฑ์การปฏิวัติจีน พิพิธภัณฑ์์ประวัติศาสตร์จีน มหาศาลาประชาชน เมื่อผู้นำของประเทศต่างๆ เยือนจีน จะมีพิธีต้องรับที่หน้า มหาศาลาประชาชนด้วย โดยพิธีต้อนรับ จะมีการตรวจ แถวทหารกองเกียรติยศส่วนพิธีจะยิ่งใหญ่ ขนาดไหนขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศ หรือการให้ความสำคัญของจีนต่อประเทศนั้นๆ
การเดินทาง : รถไฟใต้ดินที่สถานี Tian’an Men Xi, Tian’an Men Dong และ Qian Men



พระราชวังต้องห้าม “กู้กง”
พระราชวังหลวงกู้กง หรือ พระราชวังต้องห้าม สถานที่ว่าราชการและที่ประทับของจักรพรรดิ์ 24 พระองค์ในสมัยราชวงศ์หมิงและชิง สร้างปีค.ศ. 1406 โดยจักรพรรดิหย่งเล่อ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองปักกิ่ง ด้านหลังพลับพลาเทียนอันเหมิน แผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ยาวจากเหนือจรดใต้ 961 เมตร กว้าง 753 เมตร มีกำแพงวังล้อมรอบ ยาว 3 กิโลเมตร สูง 10 เมตร มีคูน้ำล้อมรอบ กว้าง 52 เมตร มีประตูวัง 4 ประตู 4 ทิศ มีป้อมหอคอยกำแพงวังอยู่ 4 มุม มีพื้นที่ทั้งหมด 724,250 ตารางเมตร มีตำหนักน้อยใหญ่ถึง 9,999 ห้อง





ภายในพระราชวังแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนด้านหน้าเป็นเขตที่ฮ่องเต้ออกว่าราชการ จัดงานพิธีต่างๆ รับเข้าเฝ้า และวังในเป็นเขตหวงห้าม ผู้ชายห้ามเข้า ยกเว้นขันทีเท่านั้น พระราชวังหลวงกู้กง เป็นสถานที่ว่าราชการและที่ประทับของจักรพรรดิ์ 24 พระองค์ ในสมัยราชวงศ์หมิง และชิง

 



เชิญสัมผัสความมหัศจรรย์อลังการของพระราชวังแห่งนี้ ชมโบราณสถานและสิ่งก่อสร้างทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ซึ่งสร้างขึ้นบนพื้นที่ 720,000 ตารางเมตร, อาคารเครื่องไม้ที่ประกอบด้วยห้องต่างๆ ถึง 9,999 ห้อง, ตำหนักว่าราชการพระตำหนักชั้นใน, ห้องบรรทมของจักรพรรดิ์, ห้องว่าราชการหลังมู่ลี่ไม้ไผ่ของพระนางซูสีไท่เฮา เป็นต้น




พระราชวังฤดูร้อน อี๋เหอหยวน
พระราชวังฤดูร้อน หรือ พระราชวังอวี้เหอหยวน อุทยานใหญ่ใหญ่ไพศาลของพระนางซูสี ไทเฮา สร้างขึ้นเมื่อประมาณ 800 ปี ก่อนที่พระนางซูสีไทเฮาใช้เป็นที่แปรพระราชฐาน สร้างขึ้นโดยใช้งบประมาณของทหารเรือ และใช้แรงงานของทหารรักษาพระองค์ ที่นี่ มีปราสาท, ตำหนัก, เก๋งจีน และศาลาในแบบต่าง ๆ รวม 3,000 แห่ง รายล้อมไปด้วยทะเลสาบคุนหมิง ซึ่งขุดด้วยแรงงานมนุษย์ และภูเขาเทียม ภายในพระตำหนักเพียบพร้อมด้วยโรงมหรสพต่าง ๆ ที่ให้ความสำราญแด่พระนางซูสี ไทเฮา เมื่อครั้งอดีตกาล



ที่นี่ มีของเก่าแก่โบราณมากมาย มูลค่ามหาศาล ทั้งปราสาท, ตำหนัก,เก๋งจีน ศาลาในแบบต่างๆ รวม 3,000 แห่ง รายล้อมไปด้วยทะเลสาบคุนหมิง ที่ขุดด้วยแรงงานมนุษย์ และภูเขาเทียม ภายในพระตำหนักเพียบพร้อมด้วยโรงมหรสพต่างๆ ที่ให้ความสำราญแด่พระนางซูสี ไทเฮา เมื่อครั้งอดีตกาล ตื่นตามากๆ



เวลาเปิด - ปิด : 08.30 - 17.00 น. ค่าเข้าชม : เมษายน - ตุลาคม รวมค่าผ่านประตู ค่าเข้าสวนเต๋อเหอหยวน หอฝอเซียงเก๋อ และถนนซูโจว 60 หยวน บัตรผ่านประตูอย่างเดียว 30 หยวน พฤศจิกายน - มีนาคม รวมค่าผ่านประตู ค่าเข้าสวนเต๋อเหอหยวน หอฝอเซียงเก๋อ และถนนซูโจว 40 หยวน บัตรผ่านประตูอย่างเดียว 20หยวน
การเดินทาง : ลงรถไฟใต้ดินที่สถานี Xizhimen ใช้ทางออก A แล้วขึ้นรถเมล์สาย 301, 303, 330, 331, 332, 346, 362, 374, 375, 904 และ 905



หอบูชาเทวดา หอฟ้าเทียนถาน
หอฟ้าเทียนถาน หรือ เรียกชื่ออย่างเป็นทางการว่า หอสักการะฟ้าเทียนถัน เป็นสถานบวงสรวงเทพยดาใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง ซึ่งยังคงรักษาไว้ในจีน ประกอบด้วยตําหนักฉีเหนียนเตี้ยน ตําหนักหวงฉงอี่ และลานหยวนชิว เป็นต้น สร้างในปี ค.ศ. 1420 โดยจักรพรรดิหย่งเล่อ ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของพระราชวังหลวง ของกรุงปักกิ่งมีเนื้อที่ทั้งหมด 273 เฮกต้าร์



หอฟ้าเทียนถาน เป็นสถานซึ่งจักรพรรดิแห่งราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง ใช้เป็นที่บวงสรวงเทพยดาฟ้าดิน ให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล พืชพันธุ์อุดมสมบูรณ์ ทวยราษฎร์อยู่เย็นเป็นสุข สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อในพิธีกรรมต่างๆ ในสมัยโบราณ นอกจากนี้ ด้านหลังและด้านข้างของหอแห่งนี้มีอาคารที่ประทับของฮ่องเต้ ห้องครัว ห้องฆ่าสัตว์บูชายัญ ห้องเก็บจัดและเตรียมข้าวของเครื่องใช้ในพระราชพิธี ต่อมาในปี ค.ศ.1889 หอถูกฟ้าผ่าไฟไหม้ ทางราชสำนักได้สร้างหลังใหม่ขึ้นทดแทน และงดงามยิ่งกว่าหลังเก่า

หอฟ้าเทียนถาน มีความสูงถึง 38 เมตร ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 14 ปี ปัจจุบัน กลายเป็นเขตของสวนสาธารณะเทียนถาน (เทียนถานกงหยวน) ในอดีตจักรพรรดิจะเสด็จออกจากวังหลวงมาประกอบพิธีบวงสรวงบูชาสวรรค์ บูชาฟ้าดิน ขอให้พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ ฝนตกต้องตามฤดูกาลประจำทุกปี




ที่แปลกอย่างหนึ่ง คือ ตรงบริเวณทางเข้าหอบวงสรวงนี้ แนะนำให้คุณลองพูด เช่น “รวยๆๆ” ซึ่งก็มีเสียงสะท้อนของตัวเอง ก้องกลับมาให้ตัวคนพูดได้ยินชัดด้วย ทั้งๆ ที่นี่ เป็นที่โล่งๆ นะ แปลกดีจัง จึงถือเป็นเคล็ดลับ เชิญเที่ยวชม หอฟ้าเทียนถาน พบกับความงดงามของสถาปัตยกรรมชั้นเลิศ และความเป็นมหาอำนาจของจีน





เวลาเปิด - ปิด : 08.00 - 17.00 น.
ค่าเข้าชม : เมษายน - ตุลาคม 35 หยวน พฤศจิกายน - มีนาคม 30 หยวน
ค่าบริการชุดหูฟังพร้อมแผนที่นำเที่ยวอิเล็กทรอนิกส์ : 40 หยวน ค่ามัดจำ 100 หยวน
การเดินทาง : รถไฟใต้ดินไปลงที่สถานีเฉียนเหมิน (Qian Men) แล้วต่อรถโดยสารประจำทาง รถเมล์ สาย 6, 35, 36,106, 707, 822 ผ่านประตูทิศเหนือ สาย 6, 34, 35, 36, 39, 41, 43, 60, 116, 610ผ่านประตูทิศตะวันออก สาย 36, 120, 122, 610, 707 ผ่านประตูทิศใต้ และสาย 2, 15, 17, 20, 25, 36, 54, 59,105 ผ่านประตูทิศตะวันตก





สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวที่ปักกิ่ง ยังไม่จบจ้า “มัชรูมทราเวล” แนะนำให้อ่าน เที่ยวปักกิ่ง ถิ่นมังกร ตอน 4 นะจ๊ะ โปรดติดตามตอนต่อไปจ้า

เที่ยวปักกิ่ง ถิ่นมังกร ตอน 4 (จบ)

“มัชรูมทราเวล” แนะนำ สถานที่ท่องเที่ยวนครปักกิ่ง เมืองหลวง เมืองวัฒนธรรม และเมืองประวัติอันยิ่งใหญ่ยาวนาน ของพญามังกร ลองไปดูกันว่า มีที่เที่ยวไหนบ้าง ^-^


วัดลามะ
วัดลามะ หรือ วัดยงเหอกง วัดใหญ่เก่าแก่และมีชื่อเสียงในกรุงปักกิ่ง และเป็นหนึ่งของศาสนาพุทธนิกายทิเบตอันลือชื่อ สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1694 มีตำหนักต่างๆ กว่า 1,000 ห้อง สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1694 เดิมเป็นตำหนักที่ประทับของจักรพรรดิหย่ง เจิ้น หรือ องค์ชายสี่ ผู้เป็นพระราชบิดาของจักรพรรดิเฉียนหลงแห่งราชวงศ์ชิง หลังจากพระองค์ได้ขึ้นครองราชย์ได้ยกตำหนักนี้ให้เป็นเสนาสนะสงฆ์ในปีค.ศ. 1744 ครั้นถึงรัชสมัยจักรพรรดิเฉียนหลง ที่นี่ได้กลายเป็นศูนย์กลางสำคัญของพุทธศซาสนานิกายหมวกเหลืองแบบทิเบตที่ นอกกรุงลาซา

วัดลามะ เป็นวัดใหญ่มีการตกแต่งประดับประดาอย่างสวยงาม ปัจจุบันมีพระลามะอาศัยอยู่ราว 200 รูป มาเที่ยววัดนี้ เขาถือโชคลางนะจ๊ะ เมื่อคุณเห็นธรณีประตูค่อนข้างมาก ต้องเดินก้าวเท้าซ้ายยาวๆ สูงๆ ข้ามธรณีประตู เพราะเขาเชื่อว่าจะทำให้ได้เงินเป็นจำนวนมาก บรรยากาศที่นี่ค่อนข้างร่มรื่น เชิญนมัสการพระพุทธรูปอารยเมตไตรย์ที่งดงามและสูงถึง 23 เมตร โดยเชื่อกันว่า เป็นงานแกะสลัก จากไม้จันทน์องค์ใหญ่ที่สุดในโลกและได้ถูกบันทึกไว้ในกินเนสบุ๊ค ประดิษฐานอยู่ภายในศาลาหมื่นสุข “ว่านฟู่เก๋อ”




เวลาเปิด - ปิด : เมษายน - ตุลาคม เวลา 09.00 - 16.30 น. พฤศจิกายน - มีนาคม เวลา 09.00 - 16.00 น.
ค่าเข้าชม :        25 หยวน ค่าบริการชุดหูฟังพร้อมแผนที่นำเที่ยวอิเล็กทรอนิกส์ : 20 หยวน ค่ามัดจำ 100 หยวน
การเดินทาง :    รถไฟใต้ดินที่สถานี Yonghe Gong



พิพิธภัณฑ์หุ่นขึ้ผึ้ง
พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง เป็นการแสดงหุ่นที่เล่าเรื่องแต่ละราชวงศ์ที่ปกครอง ในการขึ้นครองราชของกษัตริย์แต่ละราชวงศ์นั้น ตั้งอยู่ในอาคารชั้นเดียว จัดแสดงประวัติความเป็นมาตั้งแต่ยุคร้อยปีที่ผ่านมาจนถึงยุคสงครามฝิ่นเรื่อยมาจนถึงปักกิ่งยุคใหม่ ที่มีแต่ความเจริญก้าวหน้า โดยแต่ละฉากมีขนาดสมจริง มีคำบรรยายให้ทราบความเป็นมา เขาจำลองห้องต่างๆ กว่า 20 ห้อง หลายสมัย หุ่นเหมือนจริงมากๆ ที่นี่ เป็นแหล่งความรู้ทางประวัติศาสตร์เป็นอย่างดี มีศิลปะ มีความโหดร้าย การแย่งชิงอำนาจให้ได้ศึกษา ในด้านที่ดีก็มีมากมาย



กำแพงเมืองจีน
คนไทยเรียกว่า กำแพงเมืองจีน ในขณะที่คนจีนเรียกว่า ฉางเฉิง แปลว่า กำแพงยาว เป็นสิ่งก่อสร้างในยุคโบราณของจีน ที่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่มนุษย์สร้างขึ้นบนพื้นโลก ที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า จากดวงจันทร์ได้

กำแพงเมืองจีน เปรียบเสมือนมังกรตัวมหึมาที่ทอดกายจากทะเลหวงไห่ลัดเลี้ยวผ่านห้ามณฑล สองเขตปกครองตนเอง ไปสิ้นสุดลงที่กลางทะเลทรายโกบี สร้างโดยจักรพรรดิจิ๋นซีแห่งราชวงศ์ฉิน เพื่อเป็นเครื่องกีดขวางของชนเผ่าผู้รุกรานจากทางเหนือ ใช้แรงงานก่อสร้างนับหมื่นคน กำแพงเมืองจีน นี้ มีความยาวทั้งสิ้นถึงกว่า 6,350 กิโลเมตร



 มาถึง ปักกิ่ง ทั้งที ก็คงต้องเดินขึ้น “กำแพงเมืองจีน” มีข้อแนะนำคุณว่า 1) เวลาเดินให้ไปแค่พอประมาณพอ เพราะต้องเก็บแรงขากลับด้วย 2) ให้การแต่งกายยืดหยุ่น สบายๆ ต่ออากาศหน่อยนะจ๊ะ เพราะไม่งั้นเวลาเดินๆ จะรู้สึกเหนื่อยและเกร็งกับการเดินขึ้นลงขั้นบันไดจ้า ขอให้เดินออกกำลังกายขึ้น ชม กำแพงเมืองจีน ที่นี่...ช่างอัศจรรย์จริงๆ สมแล้วกับการได้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก

 เวลาเปิด - ปิด :  06.40 - 18.30 น. ค่าเข้าชม : เมษายน - ตุลาคม 45 หยวน พฤศจิกายน - มีนาคม 40 หยวน ค่าบริการชุดหูฟังพร้อมแผนที่นำเที่ยวอิเล็กทรอนิกส์ : 40 หยวน ค่ามัดจำ 100 หยวน

การเดินทาง :   รถเมล์สาย 919 ด้านหลังประตูเมืองเต๋อเฉิงเหมิน (Deshengmen) อยู่ใกล้ๆ สถานีรถไฟใต้ดิน Ji Shui Tan โดยออกเดินทางเที่ยวแรกเวลา 05.30น. (ราคา 12 หยวน) ขากลับรถเที่ยวสุดท้ายเวลา 18.30น. ปกติแล้วโรงแรมส่วนใหญ่มีบริการนำเที่ยวกำแพงเมืองจีนไปพร้อมกับสุสานราช วงศ์หมิง ราคาประมาณ 160 หยวน (รวมค่าเข้าชมแล้ว)



สนามกีฬาโอลิมปิค
บางคนเรียกว่า “สนามกีฬาโอลิมปิครังนก” ออกแบบโดยสถาปนิกชาวสวิสเซอร์แลนด์ Herzog & de Meuron เดินตามรอยสนามกีฬาชื่อดังของโลก “โคลอสเซี่ยม” ที่พยายามให้เอื้ออำนวยต่อสิ่งแวดล้อม เป็นสถาปัตยกรรมของชาวเยอรมัน มีอัฒจรรย์ใช้จัดพิธีเปิด-ปิดการแข่งขันกีฬามวลมนุษยชาติที่ปักกิ่ง ปีค.ศ.2008 เดือน 8 วันที่ 8 เวลา 8 โมง (20.00 น.) จุผู้ชมได้ 91,000 ที่นั่ง


สนามกีฬาโอลิมปิค เป็นอัฒจรรย์ลักษณะคล้าย “รังนก” มีโครงตาข่ายเหล็กสีเทาเหมือนกิ่งไม้หอหุ้มเพดานและพนังอาคารทำด้วยวัสดุ โปร่งใส อัฒจันทร์มีลักษณะรูปทรงชามสีแดง ดูคล้ายกับพระราชวังต้องห้ามของจีนและชมสระว่ายน้ำ สร้างด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุด มีรูปลักษณ์คล้าย “ก้อนน้ำสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่” เป็นโครงสร้างที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการเดินเครื่องเพื่อกรองน้ำเสียของ สระว่ายน้ำ และกำแพงอาคารเหมือนฟองน้ำที่เคลื่อนไหวตลอดเวลา เก็บภาพสวยๆ มาฝากด้วยนะจ๊ะ




ประตูชัยหรือ ประตูเต๋อเซิงเหมิน
กรุงปักกิ่งไม่มี ประตูชัย แต่คนไทยเราเรียกกันเอง ประตูชัยหรือ ประตูเต๋อเซิงเหมิน มีแต่ป้อมเก่าๆ ตั้งแต่สมัยราชวงศ์แมนจู (ราชวงศ์ชิง) ด้านเหนือของกรุงปักกิ่ง โดยสมัยก่อนป้อมเหล่านี้มีไว้ใช้ยิงธนู และมีเพียง 2 ประตูชัยเท่านั้น ซึ่งเรียกเป็นภาษาจีนว่าประตู "เต๋อเซิ่งเหมิน" ประตูนี้เมื่อก่อนใช้เวลาฮ่องเต้เสด็จไปสงครามจะออกจากเมืองโดยใช้ประตูแห่งนี้ สร้างในสมัยราชวงศ์หมิง ซึ่งมีอายุ 500 กว่า สมัยก่อนเขาใช้ที่นี่ เป็นประตูนี้ส่งแม่ทัพออกรบนะ



ปัจจุบันนี้ ประตูชัย ได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงภาพถ่ายประตูเมืองต่างๆ ของปักกิ่ง คือ พิพิธภัณฑ์ ผีซิว หรือ ปี่เซี๊ยะ ถือเป็นสัตว์เทพชนิดหนึ่ง และเป็นลูกตัวที่เก้าของมังกร ผีซิวถือเป็นสัตว์ดุร้ายชนิดหนึ่ง แบ่งเป็นเพศผู้ เพศเมีย เพศเมียเรียกว่า “ผี” ส่วนเพศผู้เรียกว่า “ซิว” โดยผีซิวตัวผู้จะหาทรัพย์ ส่วนตัวเมียก็เฝ้าทรัพย์ ดังนั้น คนจีนจึงนิยมเก็บสะสมไว้เป็นคู่ ที่คนจีนเชื่อว่า ปี่เซี๊ยะ สามารถนำเงินทองและโชคลาภให้กับผู้เป็นเจ้าของและช่วยเก็บรักษาทรัพย์ที่หามาได้ เชิญเลือกเช่ามาบูชา นอกจากนั้น สด้านล่างของประตูชัย ก็มีตลาดแบบกะดินขายของด้วย



สวนสัตว์ปักกิ่ง/สวนสัตว์หมีแพนด้า
สวนสัตว์หมีแพนด้า สวนสัตว์ปักกิ่งใหญ่สุดในประเทศจีน เดิมเป็นอุทยานหลวงในยุคราชวงศ์หมิง ปัจจุบันมีสัตว์อยู่ราว 6,000 ตัว ทั้งแพนด้า เสือไซเบียเรีย ลิงขนทอง หมีขาวขั้วโลกเหนือแ นกกระเรียนหงอนแดง และสวนน้ำที่มีสัตว์น้ำอาศัยอยู่มากกว่า 50,000 ชนิด



 สวนสัตว์ปักกิ่งนี้ มีประวัติความเป็นมานานกว่า 90 ปี ตั้งอยู่ทางตะวันตกของกรุงปักกิ่ง หากใครมาเที่ยวที่นี่ จะชมสัตว์ต่างๆในสวนสัตว์ การปลูกต้นไม้ และดอกไม้หลายชนิด เช่น ต้นแป๊ะก๊วยและโบตั๋น เป็นต้น และชมความน่ารักของสัตว์หายาก แสนรู้ของหมีแพนด้ายักษ์ สัตว์ที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองจีน บันทึกภาพเป็นที่ระลึก
เวลาเปิด - ปิด :  07.30 - 17.30 น.ค่าเข้าชม : เมษายน - ตุลาคม 15 หยวน พฤศจิกายน - มีนาคม 15 หยวน หากชมแพนด้าจ่ายเพิ่มอีก 5 หยวน เข้าชม Aquarium ผู้ใหญ่จ่ายเพิ่ม 100 หยวน เด็ก 50 หยวน
การเดินทาง :       รถไฟใต้ดินที่สถานี Xizhi Men แล้วนั่งแท็กซี่ต่อไปอีกที (ค่าแท็กซี่ประมาณ 15 - 20 หยวน) รถเมล์สาย 7, 27, 103, 105, 107, 111, 332, 334, 360, 601, 814 และ 904




“ปักกิ่ง” เป็นเมืองหลวงตั้งแต่สมัยราชวงศ์หยวน ที่สืบทอดมาจนกระทั่งปัจจุบัน ทำให้ปักกิ่งมีสถานที่สำคัญทางประวัติศาตร์มากมาย ลองเลือกเที่ยวกันเองตามอัธยาศรัยแล้วกันนะจ๊ะ เชิญท่อง มหานครปักกิ่ง ถิ่นมังกร เมืองวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ แล้วรับรองว่าคุณจะต้องมนต์เสน่ห์ เย้ายวนใจของเมืองหลวงของพญามังกรแห่งนี้ ไมรู้ลืม จนต้องปรารถนากลับมาเยือนที่นี่อีกครั้ง

วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

แนะนำอาหารอร่อยที่ฮ่องกง

เมื่อพูดถึงฮ่องกง สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ นอกเหนือจากการเพลิดเพลินใจ ช้อปปิ้ง สินค้าหลากหลาย น่ารักๆ แล้ว “อาหารจีน” ก็เป็นของทานที่น่าลิ้มลอง หน้าตาดูดี น่าทานมากๆ คงต้องแสวงหาอาหารจีนอร่อยๆ ไปดูว่ากันว่า เมืองนี้เขามีอะไรน่าทานบ้าง ร้านไหน ย่านไหน

 

**เป็ดย่าง-ห่านย่าง (ยุ่งกี่)
มีคนถามว่า ไปฮ่องกงแล้ว ควรทานอะไร แนะนำว่า “เป็ดย่าง-ห่านย่าง” เพราะของเขามีชื่อเสียง เนื้อเป็ด-ห่านนุ่มมาก หนังกรอบ หอมกลิ่นเครื่องยาจีน อร่อยตรงน้ำจิ้ม เป็นน้ำผึ้งมาผสมกับน้ำบ๊วย รสชาติออกเปรี้ยวๆหวานๆ ไม่ใช่ซีอิ๊วพริกดองแบบบ้านเรานะจ๊ะ ลองดูว่ามีที่ไหนบ้าง





**ร้านเป็ดย่างใกล้ๆ ห้างไทม์สแควร์ เป็นข้าวหน้าเป็ดย่าง-ห่านย่าง อร่อย ไม่เหม็นคาว เนื้อเป็ดนุ่มมากและหนังอร่อย วางบนข้าวที่ราดซ็อสซี้อิ๊วหอมอร่อย นอกจากนี้ มีหมูกรอบ นกพิราบอบกรอบ ด้วย

**ร้าน Sham Shui Po ขึ้นประตู c2 จะเจอเป็น 4 แยก เดินตรงขึ้นไป ตึกแถวฝั่งขวามือ มีร้านขายเป็ดย่าง ไก่ หมูแดง นกพิราบ แต่เป็ดย่างแอบแพงนิดหนึ่ง จานละ 130 HDK หากมานั่งทานที่นี่ กินเป็ดย่าง ไข่พันปี ข้าวผัด นกพิราบทอด และน้ำอีก ประมาณ 3,000 บาท

**ที่สนามบิน มีร้านเป็ดย่างขายด้วย ราคาตัวละ 330HDK ราคาแพงกว่าร้านในเมือง ขายตัวละ 200 HDK เป็นร้านธรรมดานะ ถ้าทานเป็ดย่างเปล่าๆ เนื้อล้วน รสชาติออกเค็มๆ แต่พอกินกับข้าวสวยก็อร่อยโดยเฉพาะน้ำจิ้มบ๊วย เปรี้ยวๆ หวานๆ จ้า

**ร้านขายห่านย่าง Shan Tseng Chan Kee ฝั่งฮ่องกง ใช้เวลาประมาณ 45 นาที จากย่าน Tsim Sha Tsui ฝั่งเกาลูน ค่าแท็กซี่ประมาณ 130 เหรียญ รสชาติใช้ได้ อร่อยดี ขายตัวละ 200 HDK




**ร้าน Shan Tseng Chan Kee ร้านเก่าแก่ อยู่แถวถนนเชงซาน ห่านที่นี่มีขนาดลำตัวไม่ใหญ่โตเหมือนห่านพะโล้บ้านเรา เขาคัดขนาดห่านรุ่นๆ มาปรุง หนังเป็ดย่างหอมกรอบมากๆ เนื้อนุ่มเป็นพิเศษ และสำคัญที่น้ำจิ้มบ๊วยเสริฟ ไม่ใช่ซีอิ๊วพริกดองแบบบ้านเรา

**เดินไปเกือบสุดถนนเดินเข้าไปจาก YMCA Salisbury มีร้านเป็ดย่างฮ่องกงหลายร้าน อร่อยเช่นกัน เป็นร้านแบบภัตตาคารเลย ไม่ใช่ร้านห้องแถว ราคาตัวละ 300HDK เดินๆๆ ไปทางสนามม้า มีสายเดียว สุดสายแล้วโดดลงรถราง

**ภัตตาคาร "หยงกี่" (YOUNGKEE) ฝั่งฮ่องกง ถนนควีนส์ โรด หรือ หยงกี่ หรือ ยงเก่ หรือ โหยงเก๋ สับห่านย่างลงในจานหนึ่งตัว หนังมันกรอบเนื้อมันนุ่ม หอมกลิ่นเครื่องยาจีน ที่สำคัญอร่อยตรงน้ำจิ้ม คือ เอาน้ำผึ้งมาผสมกับน้ำบ๊วย รสชาติจึงออกเปรี้ยวหวาน ที่นี่ เขาใช้ห่านพันธุ์พิเศษที่เรียกว่า "ห่านหัวสิงโต" เป็นพันธุ์ "ห่านฮ่องเต้" หัวใหญ่โตเหมือนสวมหมวกฮ่องเต้อย่างไรอย่างนั้น ความจริงมัน ห่านที่นี่เป็นพันธุ์พิเศษที่คนจีนขุนเลี้ยงมาเป็นพันปี พวกจีนแต้จิ๋วเอาไปต้มพะโล้ มีขายแถวซัวเถา พอพวกกวางตุ้งเห็นเข้า เลยเอาไปย่าง แล้วพบว่าอร่อยแตกต่างไปจากการต้มพะโล้ สมัยก่อนเขาหาบขาย จนกระทั่งขึ้นร้านภัตตาคารใหญ่โต “ห่านหัวสิงโต” ความจริง "หยงกี่" ไม่ใช่ร้านเดียวที่ย่างห่านอร่อย แถวๆ นี้ ยังมีร้านย่างห่านอร่อยมากมายหลายเจ้าในฮ่องกง เช่น แถวหน้าโรงเบียร์ "ซานมิเกล", แถวนิวเทอรริเทอรี่ใกล้ชายแดน ก็อร่อยดี


แนะนำ
**ย่าน Wan Chai Joy Hing Food Shop ข้าวห่านย่าง ราคาHK$ 30-50 และอื่นๆ อีกมากมาย
**ย่าน Central Yung Kee ห่านย่างอร่อยที่สุดในฮ่องกง / TACO LOCO / Tsui Wah Restaurant / Tai Cheong Bakery / และอื่นๆ อีกมากมาย




2.บะหมี่เกี้ยวฮ่องกง
ของโปรดๆๆ “บะหมี่เกี๊ยวฮ่องกง” หรือ “Wonton Noodle” คือชื่อภาษาอังกฤษ แต่นิยมเรียกกันว่า “Wonton เมี่ยน” (เมี่ยน เป็นภาษาจีน = บะหมี่) บินมาฮ่องกง ก็ต้องทานอาหารชนิดนี้ให้ได้ รสชาติคล้ายๆ บะหมี่บ้านเรา แต่เส้นบะหมี่ของฮ่องกงจะเส้นเล็กๆ เหนียวๆ นุ่มๆ อร่อย กินแบบไม่ปรุง





ฮ่องกง มีร้านขายบะหมี่มากมาย อร่อยแทบทุกร้าน ถ้าอยากให้อร่อยตามแบบไทยๆ ก็ขอพริกของเขาได้ หน้าตาไม่เหมือนพริกป่นบ้านเรา แต่คล้ายๆ พริกที่ใช้ปรุงกินกับข้าวซอย (อาหารเหนือ) เป็นพริกป่นที่อยู่ในน้ำมันอะไรสักอย่าง รสชาติดี ราคาหนึ่งชามตามร้านปกติก็อยู่ที่ 20 เหรียญฮ่องกง อยู่ที่ราวๆ ชามละ 90 บาท

 แนะนำ:
**ย่าน Tsim Sha Tsui ร้าน Taiwan Beef Noodle / HO FAT บะหมี่เกี๊ยวกุ้ง
**ย่าน Mong Kok ข้าวมันไก่ Ngan Lung Restaurant / Modern Toilet / บะหมี่เกี๊ยว ที่ ร้านโจ๊กที่เด็ด ถูก และอร่อยมาก / ร้านของทอดริมถนน
**ย่าน Causeway Bay Keung Kee Restaurant / Keung Kee Restaurant / Wing Hing Chiu Chow Cuisine / MAK's NOODLE




3.โจ๊กหมู
โจ๊กฮ่องกง อาหารขึ้นชื่อ ต้นตำหรับอยู่ที่นี่จ้า เนื้อละเอียด หอม มีหมูสับเล็กๆใส่มาด้วย เครื่องเคียงมี น้ำเต้าหู้ น้ำชาจีนร้อน และปาท่องโก๋ ซึ่งดูน่าทานมากๆ กรอบนอก เหนียว นุ่มใน ชามใหญ่มากกินคนเดียวไม่หมดเลยล่ะ ร้านขายโจ๊กมีมากมาย อร่อยทุกร้าน




แนะนำ:
**ย่าน Mongkok เดินมาหาของกินแถว Mongkok คนเยอะมากๆ
**ย่าน Yau Ma Tei โจ๊กฮ่องกง Ocean Empire / ลูกชิ้นเดือดหวาน-เผ็ด อร่อยสุดๆ
** ย่าน Mong Kok ร้านโจ๊กเด็ด ถูก และอร่อยมากทุกร้าน




4. ติ่มซำ
ติ่มซำ ถือเป็นอาหารยอดฮิตของชาวฮ่องกง ถ้าเป็นร้านติ่มซำใหญ่ๆ คงต้องโทรจองที่นั่ง ถ้าจะรอก็ประมาณ 1-2 ชม. ส่วนใหญ่ เขาเสริฟน้ำชาก่อน แล้วให้เราดูเมนู มีของน่าทานมากมาย เช่น พายหมูแดง, กุยช่ายทอดกรอบ เปลือกหอมกรอบ ใส้กุยช่าย หอมมัน, หู่กี (ใบเต้าหู้ หรือ ฟองเต้าหู้) ห่อกุ้ง ข้าวอบ (ในกระบอกไผ่) เสริฟกับหมูทอดหอมกรุ่น หมูสับเป๋าฮื้อนึ่ง อบข้าว ในกระบอกไผ่ อาหารคล้ายๆ กัน อร่อยหลายร้าน โดยเฉพาะย่านดังในเมือง ราคาแพงกว่าบ้านเรา ก็มาถึงต้นตำหรับ ทานซะหน่อยจ้า




แนะนำ:
**ย่าน Happy Valley ฝั่งฮ่องกง Dim Sum The Art Of Chinese Tit Bits @ Happy Valley
**ย่าน Jordan Tong Tai Restaurant/ waffle Ball สไตล์ ฮ่องกง/ Foo Lum Fisherman's Dwarf ติ่มซำ


8.อาหารทั่วๆ ไป



อาหารปิ้งๆ ย่างๆ ทอดๆ:
เดินๆ ช้อปปิ้งไปเรื่อยๆ ตามย่านดังๆ ในตัวเมือง ได้เจอร้านย่างๆ ปิ้งๆ ข้างถนน หรือริมถนน แรกๆ ก็ไม่กล้าลองเพราะบางร้านกลิ่นเครื่องเทศแรงมาก แต่เมื่อซื้อกินทานดู อร่อย ราคาไม่แพงเลย ไม้ละ 10-20 เหรียญฮ่องกง มีให้เลือกมากมาย เช่น หนวดปลาหมึกทอด-ย่าง เหนียวๆ หนึบหนับๆ รสชาติเข้มข้น จนเดินกลับมาทานอีกรอบเลย นอกจากนี้ก็มีลูกชิ้นใส่เครื่องเทศมากๆ กลิ่นค่อนข้างแรง ลองชิมดูนะจ๊ะ



ร้านเซเว่น
ที่จริงแทบทุกประเทศ ก็มีเซเว่นเกือบหมด คิดอะไรไม่ออก ก็หาอะไรกินไม่ได้ หรือ อาหารไม่ถูกปาก เดินไปหาเลย “ร้านเซเว่น” ช่วยชีวิตได้หลายชีวิตแล้ว




ขนมอร่อยๆ ชื่อร้าน The Sweet Dynasty
ย่าน Tsim Sha Tsui ชื่อร้าน The Sweet Dynasty ถนนแคนตั้น (Canton Road) ตั้งอยูที่ G/F 100 Canton Road, Tsim Sha Tsui เป็นร้านขาย “เต้าฮวยสด” ที่ใครมาฮ่องกงแล้ว ไม่ได้มาชิมถือว่ามายังไม่ถึง ร้านนี้มีตำนานของหวานให้อ่านประดับความรู้ว่า การทานของหวานหลังอาหารนั้น มีประโยชน์อย่างไรกับระบบการย่อยและการขับถ่ายได้เช่นไร


  

อาหารจานเด็ด คือ “เต้าฮวย” เขาเสริฟ 1 ถัง (สำหรับ 4 – 6 ท่าน) พร้อมช้อนปาดมาด้วย เปิดฝาถังออกควันร้อนจากถัง แทบลวกมือคนเปิด เป็นเต้าฮวย ทำกันแบบสดๆ ต้องใช้เวลาในการรอประมาณ 20 – 30 นาที เขามีถ้วยที่น้ำสีเหมือนชาฝรั่ง ไม่มีน้ำขิงแบบบ้านเรานะ แต่เป็น “น้ำหวาน” แทน ปรุงจากน้ำตาลทรายแดง ไม่ใช่น้ำเชื่อมนะ เป็นน้ำหวานจ้า ตักเต้าฮวยลงถ้วย แล้วตักน้ำหวานราดสัก 1-2 ช้อนชา ตัวเต้าฮวย ของเขา แตกต่างจากบ้านเราโดยสิ้นเชิง เพราะเนื้อนุ่มมากๆ แทบละลายในลิ้นระหว่างตักเข้าปากเพื่อกลืนกิน ตัวเต้าฮวยจะผ่านซอกซอนฟันอย่างลื่นไหล แบบไม่เชื่อว่านี่คือเต้าฮวย ที่มีความหอมหวานของน้ำหวานราดปรุงแต่งอีก ทำให้ชุ่มคอหวานหอม อร่อยละมุนลิ้น





ที่นี่ มีอาหารอื่นๆ ให้เลือกชิม เช่น โจ๊กสไตล์ฮ่องกงขนานแท้, ผัดหมี่ฮ่องกงแบบดั้งเดิม, ปาท่องโก๋ห่อด้วยใบก๋วยเตี๋ยวหลอด น้ำซีอิ๊วราดปาท่องโก๋ให้ชุ่ม ซีอิ๊วไม่เค็มมาก,พุดดิ้งมะม่วง (Mango Pudding) เป็นต้น ทุกอย่าง อร่อยหมดจ้า



มาถึง “ฮ่องกง” ทั้งทีพลาดไม่ได้ก็เรื่องหาของกิน มองไปทางไหน ก็น่าทานจัง เล่นทำเอาน้ำลายไหลตลอดเลย เป็นที่รู้กันว่า ร้านอาหารในฮ่องกง มีหลายแบบหลายสไตล์และหลายราคา แต่จะเลือกทานอะไร ร้านไหน แล้วก็ไม่ผิดหวังจ้า เพราะของเขาสด หน้าตาดี อร่อยจ้า ชอบๆๆ