“ญี่ปุ่น” ประเทศในฝันของใครหลายๆ คน ด้วยทัศนียภาพที่งดงามในทุกๆ ฤดูกาล อาหารอร่อย ถนนหนทางทุกซอกทุกมุมดูสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบ บวกกับผู้คนที่เป็นมิตรและมีวินัยสูง เพียงแค่นี้ก็ทำให้ประเทศญี่ปุ่นได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวไม่สร่างซา ยิ่งปัจจุบันทางการญี่ปุ่นมีนโยบายงดเว้นวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวไทยที่เดินทางเข้าสู่ประเทศด้วยแล้ว ก็ยิ่งส่งเสริมให้คนไทยหลั่งไหลไปเที่ยวญี่ปุ่นกันมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเส้นทางท่องเที่ยวหลักก็อยู่ตามหัวเมืองใหญ่ อย่างเช่น โตเกียว โอซาก้า เกียวโต ซัปโปโร เป็นต้น ซึ่งนอกเหนือจากเมืองใหญ่เหล่านี้ ญี่ปุ่นยังมีสถานที่ท่องเที่ยวสวยๆ อีกมากมาย ดังที่มัชรูมทราเวลนำมาฝากในวันนี้ค่ะ
แอ่งน้ำฮัปโป จังหวัดนางาโนะ (Happo Pond)
ณ แอ่งน้ำที่ใสดุจดังกระจกเงาจนมองเห็นเงาสะท้อนของเทือกเขาใหญ่ที่ตั้งอยู่เบื้องหลังได้อย่างชัดเจน ประกอบกับลมอ่อนๆ ที่พัดโชยเรียกความสดชื่นให้กับคนที่มาเยือน แอ่งน้ำฮัปโปคือบ่อน้ำที่ถูกสร้างขึ้นจากธรรมชาติอย่างแท้จริง โดยเกิดขึ้นจากดินและทรายจากภูเขาที่ซ้อนกันขึ้นจนกลายเป็นบ่อน้ำขนาดใหญ่ที่มีน้ำใสแจ๋ว ทั้งนี้การจะขึ้นไปชมแอ่งน้ำฮัปโปนี้ใช่ว่าจะง่าย เพราะนักท่องเที่ยวจะต้องปีนภูเขาคารามัทสึที่สูงถึง 2,696 เมตรขึ้นไปเสียก่อน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเส้นทางนี้ถือเป็นเส้นทางปีนเขาศึกษาธรรมชาติยอดนิยมอีกที่หนึ่งของญี่ปุ่นเลยทีเดียว
How to get there: จากเมืองนางาโนะ ให้นั่งรถไฟมายังสถานี JR Hakuba Station จากนั้นให้นั่งกระเช้ากอนโดล่าไปยังสถานี Happo Station โดยใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 10 นาที หรือมองหารถบัสที่มีสถานีปลายทางไปยังฮัปโป ซึ่งจะใช้เวลาในการเดินทางเพียง 5 นาทีเท่านั้น
ซาโอะ ออนเซน สกีรีสอร์ท จังหวัดยามางาตะ (Zao Onsen Ski Resort)
ซาโอะ ออนเซนคือหนึ่งในสกีรีสอร์ทที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงมากที่สุดของญี่ปุ่น ตั้งอยู่บนภูเขายามางาตะบนความสูง 800 เมตร ซึ่งเป็นสถานที่เพียงไม่กี่แห่งในญี่ปุ่นที่มีต้นไม้น้ำแข็งหรือที่เรียกอีกอย่างว่ามอนสเตอร์หิมะที่เกิดจากหิมะที่ตกหนักและลมจนเกิดการแข็งตัวยืนต้นเรียงรายเต็มลานไปหมด โดยเฉพาะในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์จะเป็นช่วงที่ซาโอะมีมอนสเตอร์หิมะเยอะที่สุด งดงามที่สุด และน่าไปเยือนมากที่สุด
How to get there: หากเดินทางมาจากกรุงโตเกียว ให้นักท่องเที่ยวนั่งรถไฟชินคันเซ็นสาย JR Yamagata มายังสถานี Yamagata (ใช้เวลาเดินทาง 2.5 ชั่วโมง ในราคาประมาณ 11,000 เยน) จากนั้นจึงเปลี่ยนสถานีเพื่อเดินทางไปยัง Zao Onsen (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที ในราคาประมาณ 1,000 เยน)
ปราสาทมัทสึโมโตะ จังหวัดนางาโนะ (Matsumoto Castle)
ปราสาทมัทสึโมโตะถือเป็นหนึ่งในปราสาทดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่สวยงามและสมบูรณ์แบบมากที่สุด และมีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร โดยมีทั้งหอคอยรองและป้อมปืนภายในปราสาท นอกจากนั้นตัวของปราสาทยังกรุด้วยสีดำ ยิ่งเพิ่มความสง่างามและน่าเกรงขามให้แก่ปราสาทแห่งนี้มากขึ้นไปอีก ทั้งนี้หากนักท่องเที่ยวมีโอกาสมาเยือนปราสาทมัทสึโมโตะในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ก็จะพบกับดอกซากุระสีชมพูอ่อนที่กำลังผลิบานสะพรั่ง ซึ่งตัดกับสีดำของปราสาทที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหลัง เนื่องจากที่นี่ถือเป็นอีกหนึ่งจุดยอดนิยมสำหรับการชมดอกซากุระเช่นกัน
How to get there: จากสถานี JR Matsumoto Station สามารถเดินเท้ามายังปราสาทมัทสึโมโตะได้โดยใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 15 นาที หรือนั่งรถบัสประมาณ 5 นาที
สวนดอกไม้ฮิตาชิ ซีไซด์ จังหวัดอิบารากิ (Hitachi Seaside Park)
ฮิตาชิ ซีไซด์เป็นสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่มากถึง 190 เฮกเตอร์ หรือ 1,900,000 ตารางเมตร ทั้งบนพื้นที่ราบสลับกับเนินเขาสุดลูกหูลูกตา โดยจุดเด่นของที่นี่คือมีดอกไม้ผลัดเปลี่ยนสายพันธุ์และสีสันให้ชมอยู่ตลอดทั้งปี อย่างเช่นในช่วงฤดูใบไม้ผลิราวๆ ปลายเดือนเมษายนจนถึงช่วงกลางเดือนพฤษภาคม ทั่วทั้งฮิตาชิ ซีไซด์แห่งนี้จะถูกปูพรมไปด้วยดอกไม้สีฟ้าที่มีชื่อว่า Nemophila ส่วนในช่วงปลายเดือนกันยายนจนถึงกลางเดือนตุลาคม ก็จะเป็นคิวของพุ่มไม้สีแดงอย่าง Kokia รวมทั้งดอกไม้อื่นๆ ด้วยค่ะ
How to get there: จากสถานี Ueno ให้นั่งรถไฟสาย Joban ขบวนด่วนพิเศษมาลงที่สถานี Katsuta (ใช้เวลาประมาณ 70 นาที) จากนั้นเดินออกทางประตู East Exit เพื่อไปนั่งรถบัสชื่อ Ibaraki Kotsu bus ที่ป้ายรถหมายเลข 2 เพื่อไปลงที่ป้าย Kaihin koen nishiguchi (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที)
ภูเขาไฟไดเซน จังหวัดต็อตโตริ (Mount Daisen)
ไดเซนเป็นภูเขาไฟขนาดใหญ่ซึ่งครอบคลุมภูมิประเทศทางทิศตะวันตกของจังหวัดต็อตโตริ โดยที่นี่ถือเป็น 1 ใน 100 ภูเขาที่มีชื่อเสียงที่สุดของญี่ปุ่น ทั้งนี้ผู้ที่มาเยือนภูเขาไฟไดเซนส่วนใหญ่นิยมมาปีนเขากัน เนื่องจากภูเขาไฟไดเซนประกอบด้วยสันเขาที่มีหลายยอด โดยยอดเขาที่สูงที่สุดก็คือยอดเขาเคนกามิเนะ อย่างไรก็ดี นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่สามารถปีนขึ้นไปสูงสุดได้เพียงแค่ยอดเขามิเซนที่มีความสูง 1,790 เมตรเท่านั้น นอกจากนี้ภูเขาไฟไดเซนยังเป็นที่ตั้งของวัดไดเซนจิที่มีความสำคัญในทางพุทธศาสนา รวมทั้งศาลเจ้าโอกามิยามะที่มีชื่อเสียงอีกด้วย
How to get there: นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปยังภูเขาไดเซนได้โดยผ่านทางเมืองโยนาโกะ โดยนั่งรถบัสจากสถานีโยนาโกะ (ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง) โดยเสียค่าใช้จ่ายจำนวน 720 เยน หรือนั่งรถบัสจากสถานีไดเซนกูจิมาลงที่วัดไดเซนจิ (ใช้เวลาประมาณ 30 นาที) ค่าใช้จ่าย 480 เยน
หมู่บ้านโกคายามะ จังหวัดโทยามะ (Gokayama)
โกคายามะคือหมู่บ้านโบราณแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ที่ตั้งอยู่ในหุบเขาลึกท่ามกลางภูเขาที่สูงชันในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของจังหวัดโทยามะ โดยบ้านทุกหลังภายในหมู่บ้านโกคายามะแห่งนี้จะถูกสร้างขึ้นในรูปแบบที่เรียกว่า Gassho-zukuri ซึ่งจะเป็นบ้านที่มีสามถึงสี่ชั้น และมีหลังคาสูงชันที่ลาดเอียงถึง 60 องศา เพื่อป้องกันไม่ให้มีหิมะเกาะอยู่บนหลังคาในช่วงฤดูหนาวนั่นเอง ทั้งนี้หมู่บ้านโกคายามะได้ถูกรับรองโดยองค์การยูเนสโกให้เป็นหนึ่งในมรดกโลกทางวัฒนธรรมเมื่อปี 1995 เพื่ออนุรักษ์ที่นี่ไว้สำหรับเป็นมรดกอันทรงคุณค่าแก่ชาวญี่ปุ่นสืบไป
How to get there: จากโอซาก้า ให้นั่งรถไฟสาย JR Hokuriku Line มายังสถานี Takaoka Station (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง 10 นาที)
ทะเลสาบคุชชะโระ จังหวัดฮอกไกโด (Lake Kussharo)
ทะเลสาบคุชชะโระเป็นทะเลสาบหลุมปล่องภูเขาไฟขนาดใหญ่ ซึ่งเกิดจากภูเขาไฟที่ระเบิดแล้วพ่นเถ้าลาวาออกมา เมื่อเย็นแล้วจึงยุบตัวลงกลายเป็นหลุมทะเลสาบขนาดใหญ่ที่มีเส้นรอบวงถึง 57 กิโลเมตร ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติอะกัง ซึ่งตั้งอยู่ในเขตเมืองเทชิคางะ จังหวัดฮอกไกโด ซึ่งนอกจากนักท่องเที่ยวที่มาเยือนจะได้ชมความงามของทะเลสาบแห่งนี้แล้ว ที่นี่ยังมีกิจกรรมกลางแจ้งที่หลากหลายให้ได้เพลิดเพลินกันด้วย เช่น การปั่นจักรยาน เดินป่า ตกปลา พายเรือคายัค เป็นต้น นอกจากนั้นยังมีบ่อน้ำพุร้อนกลางแจ้งให้ได้แช่กันฟรีๆ อีกด้วย
How to get there: ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนกรกฎาคมจนถึงต้นเดือนตุลาคม จะมีรถบัสวิ่งให้บริการระหว่างฝั่งตะวันตกของทะเลสาบคุชชะโระ และคาวะยูออนเซนให้บริการ รวมถึงสามารถนั่งรถไฟมายังสถานี JR Kawayu Onsen Station ได้เลย
ทัวร์ญี่ปุ่น