วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

8 Undiscovered Destinations in China!


ประเทศจีนเป็นประเทศที่กว้างใหญ่ไพศาล และมีความพิเศษคือมีภูมิประเทศที่ทอดยาวไปหลายพันไมล์ ตั้งแต่ทะเลทรายทางทิศตะวันตกไปจรดมหาสมุทรทางทิศตะวันออก ดังนั้นวัฒนธรรมจีนจึงเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ของโลกที่สำคัญไม่แพ้วัฒนธรรมของกรีก โรมัน อียิปต์ ฯลฯ อันรุ่งเรืองในอดีต รวมทั้งวัฒนธรรมจีนยังร่ำรวยด้วยอารยะธรรมที่หลากหลายผ่านวันเวลาที่ยาวนานมากว่า 5,000 ปี ซึ่งนี่ก็คืออีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญซึ่งทำให้ประเทศจีนสามารถดึงดูดนักเดินทางและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้หลั่งไหลสู่ประเทศจีนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันปีละหลายร้อยล้านคน

ดังนั้นมัชรูมทราเวลจึงอยากแนะนำ 8 สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังที่คุณไม่ควรพลาด หากมีโอกาสได้เดินทางสู่เส้นทางสายไหมที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมและอารยะธรรมที่ยิ่งใหญ่สายนี้สักครั้งในชีวิต แล้วคุณจะรู้ว่า ประเทศจีน... ครั้งเดียวคงไม่พอ

1. กำแพงเมืองจีน



กำแพงเมืองจีนเป็นกำแพงที่มีความยาวคดเคี้ยวข้ามประเทศจีนกว่า 6,700 กิโลเมตร โดยการก่อสร้างกำแพงแห่งนี้ได้เริ่มต้นในช่วง 2,000 ปีที่ผ่านมา และสิ้นสุดลงในช่วงปี ค.ศ. 1368 ซึ่งเป็นช่วงที่จีนอยู่ใต้การปกครองของราชวงศ์หมิง ส่งผลให้กำแพงเมืองจีนกลายเป็นโครงสร้างทางทหารที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งในความเป็นจริงกำแพงที่เชื่อมต่อเมืองจีนในบางช่วงบางตอนนั้นค่อนข้างมีความแตกต่างกัน เนื่องจากสร้างขึ้นในช่วงของการปกครองในแต่ละราชวงศ์ที่แตกต่างกัน รวมถึงขุนศึกที่ควบคุมการก่อสร้างในระยะหลายๆ ปีนั้นก็ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปตามระยะเวลา ทั้งนี้จุดประสงค์ในการก่อสร้างกำแพงเมืองจีนก็เพื่อใช้ป้องกันข้าศึกจากทางเหนือที่เข้ามารุกรานนั่นเอง

สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการชื่นชมความมหัศจรรย์ของกำแพงเมืองจีน ที่ที่เหมาะที่สุดคงหนีไม่พ้นปักกิ่ง เพราะสะดวกในการเดินทางมากที่สุด อย่างไรก็ตาม กำแพงเมืองจีนในแต่ละเมือง แต่ละมณฑลนั้นมีความสวยงามแตกต่างกัน ซึ่งไม่เพียงแต่ลักษณะของกำแพงเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงความงามของวิวทิวทัศน์รอบๆ บริเวณด้วย โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่นี่จะสวยงามและโรแมนติกเป็นพิเศษ เนื่องจากต้นไม้ใบหญ้าทั่วทั้งภูเขาลูกใหญ่อันเป็นฉากหลังของกำแพงเมืองจีนนั้นจะผลัดเปลี่ยนสีสัน จึงทำให้มีเสน่ห์แปลกตากว่าช่วงฤดูไหนๆ

2. พิพิธภัณฑ์สุสานทหารดินเผา จิ๋นซีฮ่องเต้


พิพิธภัณฑ์สุสานกองทัพดินเผาแห่งนี้ตั้งอยู่ในเมืองซีอาน ภายในมณฑลฉานซี ถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1974 โดยชาวนาในหมู่บ้านซีหยางที่ต้องการขุดดินเพื่อทำบ่อน้ำในบริเวณเชิงเขาหลีซางซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองซีอานไปทางทิศตะวันออกประมาณ 35 กิโลเมตร และบังเอิญพบกับซากของทหารดินเผาที่ทราบในภายหลังว่ามีอายุมากกว่า 2,000 ปี ต่อมารัฐบาลจีนจึงได้มีการสั่งขุดเพิ่มเติมและค้นพบวัตถุโบราณอันเป็นกองทัพทหารดินเผา พร้อมสรรพาวุธ รวมถึงรถม้าและม้าศึกเป็นจำนวนทั้งสิ้นกว่า 7,400 ชิ้น ภายในบริเวณพื้นที่กว่า 25,000 ตารางเมตร 

สำหรับกองทัพดินทหารดินเผาที่ถูกค้นพบ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นเพื่อเป็นการปกป้องสุสานของจักรพรรดิฉินซือหวง หรือที่คนไทยรู้จักกันดีในนาม “จิ๋นซีฮ่องเต้” จักรพรรดิผู้ก่อตั้งราชวงศ์ฉินนั่นเอง ซึ่งคาดว่าน่าจะเริ่มก่อสร้างในช่วงปี 246 ก่อนคริสตกาล และใช้เวลาการก่อสร้างยาวนานถึง 38 ปี จนกลายมาเป็นสุสานขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่รวมทั้งสิ้น 2,180 ตารางกิโลเมตร โดยแบ่งออกเป็นเขตพระราชฐานชั้นในและชั้นนอก ซึ่งภายในสุสานนอกจากจะบรรจุพระบรมศพของจักรพรรดิแล้ว ยังมีทรัพย์สมบัติต่างๆ ตลอดจนถึงกองกำลังทหาร นางสนม นางกำนัล รถม้า ขุนศึก และหมู่ทหารอีกจำนวนมาก โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้เป็นตัวแทนของข้าราชบริพาร ในการร่วมเดินทางไปยังปรโลกพร้อมกับพระจักรพรรดินั่นเอง ปัจจุบันพื้นที่ภายในบางส่วนที่ก่อสร้างจากหินนั้นยังคงได้รับการปิดผนึกไว้เป็นอย่างดี และยังคงสภาพเดิมเอาไว้ ทั้งนี้โครงสร้างของสุสานค่อนข้างมีความสลับซับซ้อน รวมถึงขนาดของสุสานก็ยังมีขนาดยิ่งใหญ่มโหฬารสมกับพระเกียรติของจักรพรรดิจีนผู้รวบรวมประเทศจีนให้เป็นปึกแผ่นผู้นี้
3. ทิวเขาเมืองหยางซั่ว


ทิวเขาเมืองหยางซั่วตั้งอยู่ทางภาคใต้ของประเทศจีนในมณฑลกวางสี อันเป็นทิวเขาที่สะท้อนให้เห็นถึงความมหัศจรรย์ของทัศนียภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจของภูเขาได้ดีที่สุด ซึ่งหากนักท่องเที่ยวท่านใดสนใจ สามารถเดินทางไปชมความงามนี้ได้ที่เมืองหยางซั่ว เมืองเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองกุ้ยหลินมากนัก ซึ่งการท่องเที่ยวโดยการล่องแพไม้ไผ่ในแม่น้ำหลีเจียงคือกิจกรรมที่ได้รับความนิยมมากที่สุด สำหรับผู้ที่ต้องการชื่นชมความงดงามของแนวทิวเขาเหล่านี้ โดยนอกจากจะได้เห็นความงามของแม่น้ำหลีเจียงที่เหมือนกับภาพวาดหมึกจีนอันคลาสสิกด้วยภาพของเนินเขาสีเขียวขจี และภาพของยอดไม้ไผ่ที่สะท้อนผ่านแม่น้ำใสแจ๋วดุจดังกระจกในระยะทาง 83 กิโลเมตรแล้ว ยังจะได้ชมความสวยงามอลังการของทัศนียภาพริมสองฟากฝั่งแม่น้ำแห่งนี้อีกด้วย

4. แม่น้ำแยงซี ช่องแคบชูถึงเสีย ช่องแคบอูเสีย และช่องแคบซีหลิงเสีย


แม่น้ำแยงซีหรือที่คนไทยคุ้นเคยกันในชื่อแม่น้ำแยงซีเกียง คือแม่น้ำที่ยาวที่สุดในทวีปเอเชีย รวมทั้งยังครองตำแหน่งอันดับ 3 ของโลก ด้วยความยาวถึง 6,300 กิโลเมตร โดยต้นน้ำนั้นอยู่ที่เทือกเขาแทงกูล่าในมณฑลชิงไห่และทิเบตทางภาคตะวันตกตอนกลางของจีน ก่อนจะไหลไปทางภาคตะวันออกเฉียงใต้และหันเหทิศทางไปที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก ภาคใต้ ภาคกลาง และภาคตะวันออกกลาง และสุดท้ายจึงไหลออกสู่ทะเลทางภาคตะวันออกของจีนซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับเซี่ยงไฮ้ 

นอกจากนั้นแม่น้ำแยงซีและช่องแคบทั้งสาม ซึ่งได้แก่ ช่องแคบชูถึงเสีย ช่องแคบอูเสีย และช่องแคบซีหลิงเสียนั้นได้รับการยกย่องว่าเป็นจุดชมวิวที่งดงาม ทั้งยังมีความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติจนยากจะหาใครเทียบ ไม่เพียงเท่านั้น ความน่าสนใจของแม่น้ำสายนี้ยังรวมไปถึงประเพณีพื้นบ้านที่น่าตื่นตาตื่นใจและคงความเก่าแก่มาแต่โบราณของหมู่บ้านต่างๆ ตลอดความยาวของสองฟากฝั่งแม่น้ำแยงซี ก็เป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ที่ทำให้การล่องเรือสำราญบนแม่น้ำสายนี้เป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะนอกจากนักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับความอัศจรรย์ของช่องแคบทั้งสาม รวมถึงวิถีชีวิตของชนพื้นเมืองดังที่ได้กล่าวไว้ในข้างต้นแล้ว ก็ยังจะได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของเขื่อนสามผาที่ได้ชื่อว่าเป็นเขื่อนที่ใหญ่ที่สุดในโลกในระยะใกล้อีกด้วย

5. หุบเขาจิ่วไจ้โกว 


หุบเขาจิ่วไจ้โกวเป็นหุบเขาที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ในบริเวณทางเหนือของมณฑลเสฉวนอันเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาหมิงซานตอนใต้ ซึ่งอยู่ในเขตการปกครองตนเองของชนเผ่าเชียงหรือชนชาติทิเบต โดยมีพื้นที่ครอบคลุมกว่า 720 ตารางกิโลเมตรท่ามกลางหุบเขาที่ทอดตัวคดเคี้ยวไปมาผ่านหน้าผาสูงชัน ทะเลสาบสีสันสดใส และน้ำตกขนาดใหญ่ที่มีหลายระดับ จนก่อเกิดเป็นทิวทัศน์ที่งดงามตระการตา นอกจากนั้นในบริเวณรอบๆ ยังเต็มไปด้วยผืนป่าทึบที่จะเปลี่ยนสีสันไปตามแต่ละฤดูกาลตลอดทั้งปี รวมถึงเทือกเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลนในช่วงฤดูหนาวอันยาวนาน จนทำให้หุบเขาจิ่วไจ้โกวถูกประกาศให้เป็นอีกหนึ่งมรดกโลกที่สำคัญของจีนในปี ค.ศ. 1992 เป็นต้นมา

6. พระราชวังโปตาลา 


พระราชวังโปตาลาตั้งอยู่บนเนินเขาใจกลางเมืองลาซา เมืองหลวงของเขตปกครองตนเองทิเบต ถูกสร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 7 ในสมัยของกษัตริย์ซรอนซันกัมโป กษัตริย์องค์ที่ 32 แห่งราชวงศ์ถู่ฟาน และท่านยังเป็นปฐมกษัตริย์แห่งจักรวรรดิทิเบตอีกด้วย ซึ่งโครงสร้างของวังแห่งนี้ส่วนใหญ่ใช้หินและไม้เป็นหลัก ส่วนตัวกำแพงนั้นก่อด้วยหินแกรนิตเพื่อเพิ่มความคงทนแข็งแรงให้กับตัวอาคาร ต่อมาเมื่อราชวงศ์ถู่ฟานล่มสลาย พระราชวังจึงถูกทิ้งร้าง กระทั่งองค์ดาไลลามะที่ 5 ทรงมีดำริให้บูรณะขึ้นใหม่เพื่อใช้เป็นสถานที่ว่าราชการ และใช้เป็นที่ประทับ จากนั้นได้เปลี่ยนชื่อของพระราชวังเป็น “พระราชวังโปตาลา” และนับแต่นั้นเป็นต้นมา พระราชวังแห่งนี้ก็ได้กลายเป็นศูนย์รวมอำนาจทางการเมืองและศาสนาของทิเบตกระทั่งปัจจุบัน


ทั้งนี้องค์ดาไลลามะยังมีพระบัญชาให้ต่อเติมวังขึ้นในลักษณะเป็นวังซ้อนวัง โดยพระราชวังภายนอกเป็นอาคารสูง 7 ชั้น หันหน้าไปทางทิศใต้ มีชื่อเรียกว่าวังขาวเนื่องจากทาสีขาวเอาไว้ สร้างเสร็จเมื่อปี ค.ศ. 1648 โดยองค์ดาไลลามะใช้เป็นที่ทรงงานและดูแลบริหารบ้านเมืองรวมถึงพระศาสนา ส่วนพระราชวังชั้นในนั้นมีชื่อว่าวังแดง เนื่องจากทาผนังด้วยสีแดง สร้างภายหลังวังขาวประมาณ 50 ปี แบ่งออกเป็นทั้งหมด 6 ชั้น ซึ่งที่นี่ถูกใช้เป็นที่ประดิษฐานองค์สถูปขององค์ดาไลลามะ รวมถึงใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาด้วย และเพราะสาเหตุที่พระราชวังโปตาลานั้นถือได้ว่าเป็นสถาปัตยกรรมที่มีความสวยงามและล้ำค่า จึงทำให้ที่นี่ถูกรับรองให้เป็นมรดกของโลกอีกหนึ่งแห่งในปี 1994

7. เดอะบันด์ เซี่ยงไฮ้

เดอะบันด์ตั้งอยู่ในบริเวณปลายถนนหนานจิง ใจกลางเมืองเซี่ยงไฮ้ ซึ่งที่นี่ถือว่าเป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่หลงใหลในงานศิลปะและสถาปัตยกรรมแบบยุคเก่า เนื่องจากเดอะบันด์เป็นย่านที่เต็มไปด้วยอาคารเก่าแก่มากมาย อันเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงประวัติศาสตร์และความเจริญของแผ่นดินแห่งนี้ที่มีมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นอาคาร SBC ที่สร้างมาตั้งแต่ปี 1923 โดยในช่วงเวลานั้นอาคารแห่งนี้ถือได้ว่าเป็นอาคารที่หรูหราที่สุดที่ตั้งอยู่ระหว่างคลองสุเอซและช่องแคบแบริ่ง นอกจากนั้นอาคารต่างๆ ที่ตั้งอยู่โดยรอบก็มีทั้งงานสถาปัตยกรรมแบบโกธิค โรมัน บาโร้ก ฯลฯ ปัจจุบันเดอะบันด์คือสัญลักษณ์ของนครเซี่ยงไฮ้ที่ได้รับการขนานนามจากทั่วโลกว่าเป็นนิทรรศกาลสถาปัตยกรรมนานาชาติ ฉะนั้นเราจึงไม่อยากให้คุณพลาดสถานที่แห่งนี้ หากคุณได้มีโอกาสไปเยือนนครเซี่ยงไฮ้

8. พระราชวังต้องห้าม 


พระราชวังต้องห้ามหรือพิพิธภัณฑ์พระราชวัง ตั้งอยู่บริเวณใจกลางกรุงปักกิ่ง เหนือจัตุรัสเทียนอันเหมิน ซึ่งสถานที่นี้แต่เดิมเป็นที่ตั้งของพระราชวังหลวงของราชวงศ์หยวนแห่งมองโกล ต่อมาเมื่อราชวงศ์หยวนล่มสลาย ก็เปลี่ยนเป็นราชวงศ์หมิงที่ครองแผ่นดินจีน จักรพรรดิพระองค์แรกของราชวงศ์หมิงจึงมีดำริให้ย้ายเมืองหลวงจากปักกิ่งไปนานกิงและรับสั่งให้รื้อถอนพระราชวังเดิมออก จนกระทั่งเมื่อพระราชโอรสของพระองค์ได้ขึ้นครองราชย์ จึงได้ย้ายเมืองหลวงกลับมาที่ปักกิ่งอีกครั้ง และรับสั่งให้ก่อสร้างพระราชวังขึ้นมาใหม่ในปี พ.ศ. 1949 โดยมีพื้นที่ทั้งหมด 720,000 ตารางเมตร 

หลังจากที่พระราชวังต้องห้ามเสร็จสมบูรณ์ในช่วง 500 กว่าปีการครองราชย์ของราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง ที่นี่เคยเป็นที่ประทับขององค์จักรพรรดิจีนมากถึง 24 พระองค์ ทั้งยังเป็นศูนย์กลางของอำนาจสูงสุดและการว่าราชการในทั้งสองราชวงศ์อีกด้วย จึงทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่ที่รวมเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของราชสำนักของราชวงศ์ทั้งสอง และยังรวมไปถึงการเคลื่อนไหวของจักรพรรดิและพระมเหสี ระบอบชนชั้น การต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจ และการเซ่นไหว้บูชาทางศาสนา โดยทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นภายในสถานที่แห่งนี้ทั้งสิ้น ดังนั้นพระราชวังต้องห้ามที่เราเห็นในปัจจุบันนี้จึงมีความสำคัญมากกว่าการเป็นเพียงสถานที่ที่องค์จักรพรรดิของจีนใช้เป็นที่ประทับในอดีตเท่านั้น

วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ไทยไลอ้อนแอร์ทุ่มงบเปิดตัวแรง ประเดิมตั๋วบินเริ่มต้น 400 บาท!!

เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2556 ที่ผ่านมา สายการบินไทยไลอ้อนแอร์ น้องใหม่แห่งธุรกิจสายการบินต้นทุนต่ำของไทยรายล่าสุด ซึ่งเกิดจากการร่วมทุนระหว่างสายการบินไลอ้อนแอร์ ประเทศอินโดนีเซีย  และกลุ่มนักธุรกิจชาวไทย จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวอย่างเป็นทางการท่ามกลางกองทัพนักข่าวและแขกผู้มีเกียรติที่ต่างตบเท้าเข้าแสดงความยินดีอย่างคับครั่ง ณ โรงแรมรามาดาพลาซา แม่น้ำ ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ โดยประเดิมเที่ยวบินแรก เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ในวันที่ 4 ธันวาคมนี้

กัปตันดาร์สิโต เฮนโดร เซปูโตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทยไลอ้อนแอร์ เปิดเผยผ่านผู้สื่อข่าวว่า สายการบินไทยไลอ้อนแอร์จะเริ่มให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 4 ธันวาคมศกนี้ โดยเส้นทางแรกที่เปิดให้บริการคือเส้นทางระหว่างดอนเมือง-เชียงใหม่ วันละ 2 เที่ยวบิน นอกจากนั้นยังจะเปิดให้บริการเส้นทางไปยังกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย และเมืองจาร์กาตา ประเทศอินโดนีเซีย โดยกำลังอยู่ในระหว่างขั้นตอนของการดำเนินการขออนุญาตสิทธิการบิน ซึ่งคาดว่าจะเริ่มบินภายในเดือนธันวาคมนี้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้กัปตันดาร์สิโตยังได้เผยถึงตัวเลขของงบประมาณในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ ซึ่งใช้ต้นทุนสูงถึง 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ พร้อมกับชูนโยบาย “อิสระในการบิน” เพื่อให้ไทยไลอ้อนแอร์เป็นหนึ่งในทางเลือกที่คุ้มค่าและลดภาระค่าใช้จ่ายสำหรับประชาชนทั่วไปที่ใช้บริการ เนื่องจากสายการบินมีนโยบายยกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมน้ำมัน และยังสามารถเช็คอินกระเป๋าสัมภาระได้ฟรีอีก 15 กิโลกรัม

สำหรับเที่ยวบินปฐมฤกษ์ของสายการบินไทยไลอ้อนแอร์ที่จะเปิดให้บริการในช่วงต้นเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ กัปตันดาร์สิโตประกาศราคาค่าโดยสารเริ่มต้นที่ 400 บาท รวมถึงสายการบินยังมีนโยบายที่จะทำให้กรุงเทพฯ กลายเป็นศูนย์กลางทางด้านการบินด้วยราคาโดยสารที่ถูกเกินคาดทั้งเที่ยวบินภายในประเทศ และเที่ยวบินระหว่างประเทศ อย่างเช่นราคาตั๋วระหว่างดอนเมืองและกัวลาลัมเปอร์ที่มีราคาเริ่มต้นเพียงแค่ 200 บาท เป็นต้น ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถจองตั๋วผ่าน mushroomtravel.com ได้เร็วๆ นี้ โดยติดตามข่าวได้ที่ http://www.mushroomtravel.com หรือที่ www.facebook.com/mushroomtravel หรือโทรสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 0-2105-6234