วันพุธที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2557

“Royal Caribbean” ความสุขในระดับเวิลด์คลาส

คงเป็นเรื่องที่น่ายินดีไม่น้อย ถ้าหากว่าวันหนึ่งเราได้มีโอกาสให้รางวัลกับตัวเอง ครอบครัว รวมทั้งคนรู้ใจ ด้วยการชวนกันไปใช้ชีวิตเยี่ยงมหาเศรษฐีบนเรือสำราญที่คล้ายกับโรงแรมลอยน้ำขนาดยักษ์ดูสักครั้ง ถึงแม้ว่าชั่วชีวิตนี้เราอาจจะไม่ได้ร่ำรวยล้นฟ้าเหมือนกับบิล เกตส์ หรือมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก จนสามารถจับจองเป็นเจ้าของเรือลำใหญ่ เพื่อใช้เป็นพาหนะในการเดินทางท่องเที่ยวไปในมหาสมุทรที่กว้างไกลรอบๆ โลกได้ก็ตาม

วันนี้ “มัชรูมทราเวล” ขอเอาใจผู้ที่กำลังมองหาการเดินทางท่องเที่ยวและการพักผ่อนรูปแบบใหม่ในระดับเวิลด์คลาสบนเรือสำราญสุดหรู ที่มาพร้อมกับการบริการประหนึ่งคุณคือเจ้าของเรือตัวจริงเสียงจริงในราคาสบายกระเป๋า โดยเราจะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับราชาแห่งท้องทะเลแคริบเบียน ซึ่งก็คือเรือสำราญแบรนด์ดังสัญชาติลูกครึ่งนอร์เวย์-อเมริกันที่มีชื่อว่า “Royal Caribbean” นั่นเอง นอกจากนั้นเรายังจะนำท่านไปสำรวจเรือสำราญที่ประจำการในน่านน้ำมหาสมุทรอินเดีย บริวเวณทวีปเอเชียอย่าง “Mariner of the Sea” เรือสำราญลำใหม่ล่าสุดจากทั้งหมด  5 ลำของเรือสำราญในกลุ่ม Voyager Class ที่เดินทางมาแล้วทั่วโลก

 Royal Caribbean ราชาแห่งท้องทะเลแคริบเบียน





เป็นเวลากว่า 40 ปีแล้ว นับตั้งแต่การก่อตั้ง Royal Caribbean Cruise Line ขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1968 ณ ประเทศนอร์เวย์ จนกระทั่งเปลี่ยนเป็นชื่อ Royal Caribbean International และย้ายฐานมาที่สหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน แต่การเดินทางของเรือสำราญในเครือรอยัล แคริบเบียนก็ยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพักเลยสักครั้ง และนั่นก็เป็นสิ่งที่สามารถการันตีถึงคุณภาพและมาตรฐานการให้บริการของที่นี่ได้เป็นอย่างดี โดยไม่จำเป็นที่จะต้องมีรางวัลใดๆ มายืนยัน นอกจากนั้นรอยัล แคริบเบียนยังนำประสบการณ์ในการล่องเรือไปทั่วโลกกว่า 72 ประเทศ ใน 6 ทวีปมาใช้เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการพัฒนาเรือสำราญในเครืออย่างต่อเนื่อง ซึ่งนั่นก็คือการต้องทำสิ่งที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ โดยสร้างโลกของจินตนาการให้เกิดขึ้นจริง เพื่อการพักผ่อนที่เกินความคาดหวังในทุกๆ ครั้งที่ลูกค้ามาใช้บริการ

Royal Caribbean มีเรือสำราญที่ให้บริการทั้งหมดจำนวน 22 ลำ ซึ่งเรือทุกลำจะมีชื่อที่มีประโยคห้อยท้ายเหมือนๆ กันว่า ‘Of the Sea’ ทั้งนี้เรือสำราญในเครือรอยัล แคริบเบียนยังถูกแบ่งอออกเป็นทั้งหมด 7 คลาสด้วยกัน โดยเรือแต่ละคลาสนั้นก็จะมีความแตกต่างกันทั้งในเรื่องของขนาดของเรือ รูปลักษณ์ภายนอก จำนวนผู้โดยสาร พื้นที่ในการให้บริการในแต่ละน่านน้ำ และการตกแต่ง ฯลฯ ได้แก่   Oasis Class,  Freedom Class, Radiance Class, Voyager Class, Vision Class, Sovereign Class และ Quantum Class

โรงแรมลอยน้ำ ที่มาพร้อมบริการในระดับเวิลด์คลาส
สำหรับผู้ที่ไม่เคยใช้บริการเรือสำราญมาก่อนอาจจะรู้สึกกังวลและไม่มั่นใจที่จะลองใช้บริการดูสักครั้ง เพราะเข้าใจว่าการเดินทางแบบนี้หากเปรียบเทียบกับการใช้บริการโดยสารทางเครื่องบินแล้ว จะค่อนข้างช้าและใช้เวลาในการเดินทางนานกว่าหลายสิบเท่า อีกทั้งการล่องเรืออยู่ท่ามกลางทะเลหลายๆ วันคงน่าเบื่อ เพราะเมื่อมองออกไปก็คงจะเห็นแต่ท้องฟ้าและทะเล ซึ่งนั่นเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะเป้าหมายของธุรกิจการล่องเรือสำราญนั้นไม่ได้มีจุดประสงค์เพียงแค่การไปให้ถึงจุดหมายปลายทางที่ใดสักแห่งเท่านั้น แต่เป้าหมายของเรือสำราญคือ การที่นักท่องเที่ยวสามารถใช้วันหยุดพักผ่อนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพด้วยการเดินทางที่สมบูรณ์แบบ เนื่องจากภายในเรือสำราญนั้นล้วนเต็มไปด้วยกิจกรรมความบันเทิงและเครื่องอำนวยความสะดวกในรูปแบบที่หลากหลาย ทั้งโรงภาพยนตร์ สนามกีฬา สปา กาสิโน ร้านอาหาร สวนน้ำ สวนสนุก ห้างสรรพสินค้า ฯลฯ โดยแบ่งเป็นหมวดหมู่ต่างๆ ดังต่อไปนี้


การพักผ่อนและผ่อนคลาย (REST & RELAXATION






- ผ่อนคลายร่างกายด้วยโปรแกรมสปา โปรแกรมฝังเข็ม และการนวดด้วยหินร้อน เป็นต้น
- ทั้งสนุกและได้ออกกำลังแขนขากับ 4 สระว่ายน้ำ และ 6 อ่างจากุชชี่ หรือจะนอนอาบแดดแบบชิลล์ๆ ก็ไม่ว่ากัน
- ฝึกโยคะหรือรำไทเก็กที่ศูนย์ออกกำลังกาย State of the Art 
- เพลิดเพลินกับหนัง สารคดี หรือกีฬามันๆ ด้วยโทรทัศน์จอแบนระบบดิจิตอลและหน้าจอสัมผัสภายในห้องพัก หรือจะเซิร์ฟเน็ตผ่าน Wi-Fi ก็แสนง่ายดาย 
- สุขใดไหนเลยจะเท่าการนั่งแช่น้ำในสระว่ายน้ำส่วนตัว พร้อมชมหนังดังฮอลลีวู้ดจากจอภาพยนตร์กลางแจ้ง 

กิจกรรมสันทนาการและการผจญภัย (ACTION & ADVENTURE)




- ฝึกความแข็งแกร่งด้วยกิจกรรมปีนเขาบนผนังหิน
- เริงระบำบนลานสเก็ตน้ำแข็งกลางมหาสมุทร
- เย็นใจกับกีฬากอล์ฟ ณ สนามมินิกอล์ฟ
- ประลองความแม่นยำในการชูตลูกบนแป้นกับสนามบาสเกตบอลที่ได้มาตรฐาน
- วิ่งจ๊อกกิ้งเบาๆ รับแสงแดดยามเช้าในลู่วิ่งบนดาดฟ้าเรือ

ร้านอาหารหลากหลายทางเลือก (DINING OPTIONS)






- บริการอาหารฟรีถึงห้องพักกับหลากหลายเมนู ทั้งมื้อเช้า กลางวัน และมื้อค่ำ
- จิบคาปูชิโนหอมๆ กับร้านกาแฟชื่อดังอย่าง Starbucks
- เรียกน้ำย่อยก่อนมื้อหนักกับสารพัดอาหารว่างและไอศกรีมตลอดทั้งวัน ที่ Johnny Rockets, Cupcake Cupboard, Soft-serve Ice Cream, Café Promenade และ Ben & Jerry 
- ลองลิ้มชิมรสอาหารเพื่อสุขภาพที่ Solarium Café, Park Café  
- เพลิดเพลินกับอาหารหลากหลายเชื้อชาติทั้งอาหารอิตาเลียน อาหารจีน อาหารญี่ปุ่น ฯลฯ ทั้งแบบดั้งเดิมและแบบฟิวชั่นที่ Windjammer Cafe, Giovanni’s Table, Portofino, Izumi Asian Cuisine และ 150 Central Park เป็นต้น

พื้นที่สำหรับเด็กและครอบครัว (KIDS & FAMILIES)




- สู่โลกแห่งการผจญภัยในมหาสมุทร สำหรับเด็กวัย 3-11 ปี ที่ Adventure Ocean For Kids
- เปิดโอกาสให้เยาวชนอายุ 12-17 พบปะทักทายเพื่อนใหม่ พร้อมแดนซ์กันให้สุดเหวี่ยงที่ Teen Programme
- เสริมสร้างพัฒนาการสำหรับเด็กก่อนวัยเรียน และบรรดาคุณพ่อคุณแม่ ณ Royal Babies and Royal TOTS Playgroups และ Royal Babies & TOTS Nursery 

ความบันเทิงและการช้อปปิ้ง (ENTERTAINMENT & SHOPPING)






- ชมละครสไตล์บอร์ดเวย์เรื่องเยี่ยม ที่การันตีฝีมือจากรางวัลแกรมมี่อวอร์ด ภายในโรงละครหลัก 
- ชมการแสดงสเก็ตน้ำแข็งอันน่าตื่นตาตื่นใจในสตูดิโอ 
- สังสรรค์เที่ยงวันยันเที่ยงคืนกับ15 บาร์คลับและเลาจน์ แล้วแวะเสี่ยงโชคเล็กๆ ที่กาสิโนสไตล์ลาสเวกัสอย่าง Casino Royale 
- ช้อปปิ้งไม่มียั้งกับหลากหลายสินค้าแบรนด์เนมปลอดภาษี ทั้งเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ น้ำหอม ฯลฯ ที่ Store at Sea และ Royal Promenade 

เปิดประตูสู่อาเซียนกับ Mariner of the Sea





อาเซียนหรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถือเป็นเขตพื้นที่ที่โดดเด่นในเรื่องของธุรกิจการท่องเที่ยว ซึ่งเรียกได้ว่ากำลังอยู่ในช่วงของการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และสามารถสร้างเม็ดเงินจำนวนมหาศาลจากตัวเลขของนักท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละปี เนื่องจากอาเซียนนั้นตั้งอยู่ในพื้นที่อันอุดมไปด้วยทัศนียภาพที่งดงามจากธรรมชาติสรรค์สร้าง อย่างทะเลสีเทอร์ควอยซ์พร้อมแนวปะการังและปลาหลากสี หรือแนวเทือกเขาที่ยังสมบูรณ์ไปด้วยพันธุ์พืชและสัตว์ป่า เป็นต้น นอกจากนั้นอาเซียนยังเต็มไปด้วยสีสันของานเทศกาลที่หลากหลาย รวมถึงสถาปัตยกรรมสิ่งก่อสร้างเก่าแก่อายุหลายพันปี เหล่านี้ส่งผลให้องค์การยูเนสโกต้องขึ้นทะเบียนให้ 28 สถานที่จากอาเซียนกลายเป็นมรดกโลกในที่สุด



สำหรับการล่องเรือในน่านน้ำมหาสมุทรอินเดียอันเป็นเส้นทางสู่อาเซียนนั้น เรือสำราญ Mariner of the Sea น้องเล็กลำล่าสุดจากเรือสำราญทั้งหมด 5 ลำของกลุ่ม Voyager Class ในเครือของ Royal Caribbean คือเรือสำราญที่รับหน้าที่คอยให้บริการนักท่องเที่ยวมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003 จนถึงปัจจุบัน กับ 4 โปรแกรมท่องเที่ยวสุดชิค บนเส้นทางสู่ 3 ประเทศสุดคลาสสิคแห่งอาเซียน 
Mariner of the Sea เป็นเรือสำราญที่เป็นเจ้าของสถิติความใหญ่เป็นอันดับที่ 9 ของโลก ด้วยน้ำหนักรวม 138,279 ตัน และมีความสูงถึง 311 เมตร โดยแบ่งออกเป็นทั้งหมด 15 ชั้น สามารถรับผู้โดยสารได้ทั้งหมด 4,299 คน ซึ่งรวมทั้งลูกเรือ1,185 คนด้วย นอกจากนั้นภายในเรือยังประกอบไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มากมาย อย่างเช่นสระว่ายน้ำและสระระบบน้ำวนจำนวน 10 สระ ผับ บาร์ และเลาจ์ที่มีให้ได้สังสรรค์กันอย่างเต็มที่ถึง 17 แห่งด้วยกัน  รวมถึงห้องพักไว้คอยรองรับแขกผู้มาเยือนที่มากถึง 1,557 ห้อง

เลือกห้องที่ใช่ เพื่อทุกวันของการพักผ่อนที่ดีที่สุด

การวางแผนท่องเที่ยวในแต่ละครั้ง แน่นอนว่านอกจากเรื่องของจุดหมายปลายทางและการเดินทางแล้ว ที่พักหรือห้องพักก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ควรต้องใส่ใจ เพราะถึงแม้ว่าสถานที่ท่องเที่ยวที่เราไปนั้นจะวิเศษสุดสักแค่ไหน แต่หากห้องพักที่ต้องอาศัยหลับนอนนั้นไม่เป็นที่ถูกอกถูกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากต้องจ่ายค่าห้องราคาแสนแพงด้วยแล้ว ให้อย่างไรก็คงจะฝืนใจให้มีความสุขไม่ได้ เพราะฉะนั้นห้องที่เราจะเข้าพักจึงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องให้ความเอาใจใส่เป็นอันดับต้นๆ เพื่อให้ตรงกับความต้องการของตัวเองมากที่สุด ซึ่งห้องพักของเรือสำราญ Mariner of the Sea นั้นถูกแบ่งออกเป็น 4 ประเภทด้วยกัน



 

 BALCONY SUITES

ห้องพักประเภทสวีทรูมมีทั้งหมด 5 สไตล์  คือห้อง Presidential Royal Suite, Owner’s Suite, Royal Family Suite, Grand Suite (Shown) และ Junior Suite ซึ่งข้อดีของห้องประเภทนี้ก็คือความโดดเด่นในเรื่องของพื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวาง เพื่อให้สามารถเข้าพักได้ทั้งครอบครัวแล้ว ภายในห้องยังประกอบไปด้วยระเบียงส่วนตัว  ห้องนั่งเล่น บาร์และอ่างอาบน้ำส่วนตัว รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ อีกครบครัน นอกจากนั้นยังมีสิทธิพิเศษอีกมากมายที่เป็นเอกสิทธิ์สำหรับลูกค้าที่พักในห้อง Junior Suite

BALCONY STATEROOMS

ห้องพักริมระเบียงมีอยู่ 2 แบบ ได้แก่ห้อง Superior Ocean View (Shown) และ Deluxe Ocean View โดยมีให้เลือกทั้งแบบเตียงเดี่ยวและเตียงคู่ ส่วนภายในห้องจะประกอบไปด้วยระเบียงส่วนตัว พื้นที่นั่งเล่นพร้อมโซฟา รวมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกตามมาตรฐานสากล 

OCEAN VIEW STATEROOMS

สำหรับห้องพักประเภทโอเชี่ยนวิวมีทั้งหมด 4 แบบ คือห้อง Superior Ocean View (Shown), Family Ocean View, Large Ocean View และ Ocean View ที่สามารถมองเห็นวิวทะเลได้รอบทิศ นอกจากนั้นยังมีส่วนของพื้นที่นั่งเล่น และมีให้เลือกทั้งแบบเตียงเดียวและเตียงคู่เช่นกัน 

INTERIOR STATEROOMS

แบ่งห้องออกเป็นทั้งหมด 3 แบบ คือ Superior Interior (Shown), Large Interior และ Interior ซึ่งเป็นห้องพักระดับมาตรฐานสำหรับผู้ที่มีงบอย่างจำกัด กระนั้นห้องพักประเภทนี้ก็พร้อมไปด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกตามมาตรฐานอย่างครบครัน

เพราะการเดินทางที่สนุกที่สุด สิ่งสำคัญมิใช่แค่คุณจะไปที่ไหน แต่มันสำคัญที่คุณจะไปกับใครต่างหาก เพราะทุกคนสามารถเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองได้... และสำหรับผู้ที่สนใจการเดินทางท่องเที่ยวในรูปแบบที่หรูหราและแปลกใหม่บนเรือสำราญลำหรู Mariner of the Sea บนน่านน้ำทะเลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียน สามารถสอบถามโปรแกรมการท่องเที่ยวหรือรายละเอียดของเส้นทางเพิ่มเติมได้ที่มัชรูมทราเวล หมายเลขโทรศัพท์ 0-2105-6234 


วันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2557

JAPAN RAIL PASS บัตรโดยสารใบเดียว เที่ยวได้คุ้ม!

ประเทศญี่ปุ่นถือเป็นจุดหมายปลายทางในฝันของนักท่องเที่ยวชาวไทยหลายๆ คน เนื่องจากอยู่ไม่ไกลจากเมืองไทยมากนัก ใช้เวลาในการเดินทางโดยการบินตรงประมาณ 6 ชั่วโมงเท่านั้น ที่สำคัญประเทศญี่ปุ่นยังมีเสน่ห์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นความสวยงามของธรรมชาติของเมืองหนาวซึ่งแตกต่างจากบ้านเรา วัฒนธรรม อาหาร รวมไปถึงความเจริญล้ำหน้าทางด้านเทคโนโลยีต่างๆ ที่สำคัญการเดินทางในประเทศญี่ปุ่นนั้นยังสะดวกสบายด้วยระบบคมนาคมขนส่งมวลชนที่เชื่อมต่อครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาค ส่วนการใช้งานก็สุดแสนจะง่ายดายไม่ยุ่งยาก เรียกว่าเพียงแค่มี JR Pass ใบเดียวก็เดินทางท่องเที่ยวได้ทั่วทั้งทางรถไฟ รถเมล์ ไปจนถึงการโดยสารทางเรือเฟอร์รี่



เจแปน เรลพาส (Japan Rail Pass) คืออะไร
เจแปน เรลพาส (Japan Rail Pass) ถือเป็นความสะดวกที่คุ้มค่าสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มีจุดหมายปลายคือประเทศญี่ปุ่น เพราะเพียงแค่มีตั๋วเจแปน เรลพาส ใบเดียว นักท่องเที่ยวก็สามารถเดินทางทั่วญี่ปุ่นได้ไม่จำกัดจำนวนครั้งและระยะทาง ทั้งทางรถไฟสายเจอาร์ รถเมล์ เรือเฟอร์รี่ในเครือของเจอาร์ (JR Group) รวมทั้งรถไฟฟ้าความเร็วสูงอย่างชินคันเซน (ยกเว้นขบวน Nozomi ที่มีต้นทางจากโตเกียว ผ่านชินโอซาก้า และสิ้นสุดที่สถานีฟุโกะโอกะ รวมถึงรถไฟใต้ดินตามเมืองต่างๆ) ซึ่งเป็นความพิเศษที่ซื้อได้เฉพาะนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเท่านั้น นอกจากนั้นยังสามารถเลือกได้ว่าจะซื้อแบบเดินทางเฉพาะบางภูมิภาค และแบบเดินทางได้ทั่วทั้งประเทศ

โดยในส่วนของการให้บริการในระบบขนส่งมวลชนของเจอาร์ เรลพาสนั้นมีทั้งหมด 3 ประเภท ซึ่งก็คือรถไฟ รถเมล์ และเรือเฟอร์รี่ ดังนี้
รถไฟ  
- รถไฟในเครือของ JR Group และรถไฟหัวกระสุนชินคันเซน 
- รถไฟประเภท Limited Express 
- รถไฟประเภท Express 
- รถไฟด่วนหรือรถไฟธรรมดา 

รถเมล์
- รถเมล์สายท้องถิ่น หรือรถเมล์ในเครือของ JR Group ซึ่งได้แก่ JR Hokkaido, JR Tohoku, JR Kanto, JR Tokai, JR West Japan, JR Chugoku, JR Shikoku และ JR Kyushu 
- รถเมล์บางเส้นทางของ JR Highway อันได้แก่ Sapporo-Otaru, Morioka-Hirosaki, Tokyo-Nagoya, Kyoto, Osaka, Nagoya-Kyoto, Osaka-Tsuyama, Kasai Flower Center

เรือเฟอร์รี่
- ใช้ได้เฉพาะเรือเฟอร์รี่ JR Miyajima เท่านั้น โดยไม่ครอบคลุมไปถึงเรือเฟอร์รี่ JR Hakata - Pusan (Korea)

  




ประเภทของเจอาร์ เรลพาส 
• JR Pass แบบใช้ได้ทั่วทุกภูมิภาคของญี่ปุ่น 
เจแปน เรลพาสประเภทนี้จะมีจำหน่ายเฉพาะนอกประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น โดยผู้ใช้บริการจะต้องหาซื้อกับตัวแทนจำหน่ายในประเทศของตนก่อนเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่น ซึ่งค่าโดยสารนั้นก็จะขึ้นอยู่กับระยะเวลา ส่วนเด็กอายุตั้งแต่ 6-11 ปี จะเสียค่าใช้จ่ายครึ่งหนึ่งของราคาเต็ม ดังตารางข้างล่าง  


• JR Pass ชนิดเจาะจงเป็นรายภูมิภาค 
สำหรับเจแปน เรลพาสชนิดเจาะจงเป็นรายภูมิภาค จะแตกต่างจากชนิดแรก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางเจาะจงเฉพาะบางพื้นที่ หรือบางภูมิภาคเท่านั้น โดยแบ่งเป็นทั้งหมด 4 ภาค ดังต่อไปนี้ 

JR Hokkaido Rail Pass (ภาคเหนือ)
ใช้สำหรับการเดินทางโดยรถไฟเจอาร์ฮอกไกโดทุกสาย รวมทั้งรถเมล์สายเจอาร์ด้วย 


JR East Rail Pass (ภาคตะวันออก)
ใช้สำหรับการเดินทางโดยรถไฟจำนวน 72 สายของเจอาร์ภูมิภาคตะวันออก ซึ่งเชื่อมกับภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จากสนามบินนาริตะและโตเกียว 


JR West Rail Pass (ภาคตะวันตก)
ในส่วนของเจแปน เรลพาสในภูมิภาคตะวันตก แบ่งออกเป็น 2 เขต ได้แก่
- คันไซพาส ใช้สำหรับการบริการรถเร็วจากสนามบินนานาชาติคันไซเข้าเมืองโอซาก้า รวมทั้งเขตโกเบ เกียวโต นารา และฮิเมหยิ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ตั้งอยู่ในเขตคันไซ 
- ซันโยพาส ใช้สำหรับโดยสารรถไฟเจอาร์ภูมิภาคตะวันตกทุกสาย รวมทั้งรถด่วนพิเศษชินคันเซนสายซันโย ขบวนโนโซมิ รวมถึงรถด่วนจากสนามบินคันไซเข้าเมืองโอซาก้า โอกายาม่า ฮิโรชิม่า และฮะคะตะในฟุกุโอกะ


JR Kyushu Rail Pass (ภาคใต้) 
ใช้สำหรับการเดินทางโดยรถไฟเจอาร์ทุกสายที่แล่นผ่านเมืองต่างๆ ในภาคใต้ของประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งรถด่วนพิเศษสายคิวชูชินคันเซนด้วยเช่นกัน


ประเภทของนักท่องเที่ยวที่สามารถใช้ JR Rail Pass
1. นักท่องเที่ยวที่ถือวีซ่าประเภท Temporary Visitor
ปัจจุบันสถานทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ได้ประกาศยกเลิกการขอวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยที่ต้องการเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นไม่เกิน 15 วัน ทั้งนี้หากนักท่องเที่ยวท่านใดประสงค์ที่จะใช้เวลาเกินกว่า  15 วัน แต่ไม่เกิน 90 วัน จะต้องทำการขอวีซ่าให้เรียบร้อย จากนั้นเมื่อเดินทางถึงญี่ปุ่น เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองก็จะประทับตราลงในหนังสือเดินทางในฐานะ "Temporary Visitor" ซึ่งผู้ที่ได้รับตราประทับนี้ก็จะสามารถใช้ ตั๋ว JR Rail Pass ได้

2. นักท่องเที่ยวถือสัญชาติญี่ปุ่นที่พำนักอยู่ในต่างประเทศ 
สำหรับนักท่องเที่ยวประเภทนี้จะต้องมีคุณสมบัติอื่นๆ ดังต่อไปนี้ 
    1) เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติในการอยู่ถาวรในประเทศนั้น ๆ หรือ
    2) เป็นผู้ที่แต่งงานกับชาวต่างชาติที่ไม่ได้ถือสัญชาติญี่ปุ่น และพำนักอยู่ประเทศอื่น ๆ นอกจากประเทศญี่ปุ่น

อายุการใช้งาน
- ประเภทแรก  ตั๋ว JR Pass ซึ่งมีอายุการใช้งานตั้งแต่ 7 วัน, 14 วัน และ 21 วัน โดยต้องใช้ต่อเนื่องกันนับตั้งแต่วันแรกของการใช้งาน
- ประเภทที่สอง คือตั๋วที่มีอายุการใช้งานภายใน 3 เดือน นับตั้งแต่วันออกตั๋วชั่วคราว (Exchange Order) โดยนักท่องเที่ยวจะต้องเปลี่ยนให้เป็น JR Pass และจะต้องระบุวันที่ต้องการเริ่มใช้บริการ JR Pass ซึ่งจะเป็นวันไหนก็ได้ภายในระยะเวลา 1 เดือน หลังจากได้รับ JR Pass 
- ประเภทที่สาม ตั๋ว JR Pass ที่ไม่สามารถเปลี่ยนวันได้ ซึ่งเป็นตั๋วที่มีการระบุวันเวลาของการใช้บริการนับตั้งแต่วันแรก 

การยกเลิก คืนเงิน หรือสูญหาย
กรณีต้องการยกเลิกและการคืนเงิน
- สำหรับการคืนเงินของ Exchange Order นั้นสามารถทำได้ ณ ที่ทำการที่นักท่องเที่ยวซื้อและออกตั๋วเท่านั้น แต่จะต้องดำเนินการภายใน 1 ปี นับจากวันที่ซื้อตั๋ว ทั้งนี้ท่านจะต้องเสียค่าธรรมเนียมเป็นเงินจำนวน 20 เปอร์เซ็นต์ ของราคาที่ระบุไว้ในตั๋ว
- ต้องเป็นตั๋ว JR Pass ที่ยังไม่ได้ถูกประทับตราการใช้งานเท่านั้น
- หากตั๋วมีการประทับตราเรียบร้อยแล้วไม่ว่าจะในเหตุผลใดก็ตาม ไม่สามารถขอคืนเงินได้
- ตั๋ว JR Pass ไม่สามารถทำการคืนเงินได้ ในกรณีที่รถไฟไม่สามารถให้บริการได้ หรือกรณีที่รถไฟเกิดความล่าช้า
  
กรณี Exchange Order หรือ JR Pass สูญหาย / ถูกขโมย
- ไม่มีนโยบายในการออกตั๋วใบใหม่ หรือคืนเงินให้ในกรณีสูญหายหรือถูกขโมยทั้ง Exchange Order หรือ JR Pass
- ในกรณีที่ Exchange Order สูญหายหรือถูกขโมย นักท่องเที่ยวจะต้องกรอกข้อมูลรายงานการหายของ Exchange Order และส่งคืนให้กับบริษัททันที พร้อมทั้งลงลายมือชื่อผู้เป็นเจ้าของเท่านั้น

สำหรับนักท่องเที่ยวท่านใดสนใจสำรองที่นั่งหรือต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถโทรมาได้ที่ “มัชรูมทราเวล” หมายเลขโทรศัพท์ 0-2105-6234 โดยเปิดทำการตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันเสาร์ ในเวลา 09.00-18.00 น. รวมทั้งสามารถเดินทางเข้ามาสอบถามด้วยตัวเองได้ที่ บริษัท โฟร์พีพลัส จำกัด เลขที่1093 อาคารชุดทาวเวอร์ 1 ออฟฟิศ ชั้น 22 เลขที่ 1093/124 หมู่ 12 ถนนบางนา-ตราด แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพฯ 10260

วันอังคารที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2557

จากทุ่งสังหารแห่งระบอบเขมรแดง สู่แหล่งท่องเที่ยวในความทรงจำสีเทา

“ชัยชนะบนซากศพ” ประโยคนี้ดูจะไม่เกินจริงเมื่อกล่าวถึงสถานที่แห่งหนึ่ง อันเป็นต้นกำเนิดของเรื่องจริงยิ่งกว่านิยายที่แทบไม่น่าเชื่อเลยว่ามันจะเคยเกิดขึ้นจริงๆ ในศตวรรษที่ 20 ในยุคที่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกใฝ่หาสันติภาพ และปลดแอกตัวเองออกจากภาวะสงครามเย็น เพื่อเดินหน้าเข้าสู่ยุคดิจิตอล หลังจากการล่มสลายของพรรคนาซีเมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 และที่สำคัญไปกว่านั้น สถานที่อันโหดร้ายนี้กลับอยู่ใกล้แค่ปลายจมูกของเรานี่เอง

วันนี้ “มัชรูมทราเวล” จะพาทุกท่านย้อนอดีตสู่ความทรงจำสีเทา กับสถานที่ท่องเที่ยวที่ย้ำเตือนถึงความโหดร้ายของระบอบเขมรแดงและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ประชาชนชาวกัมพูชามากกว่าล้านคน ซึ่งสร้างความสะเทือนใจให้กับชาวโลกว่า อำนาจล้นฟ้าที่ท่านผู้นำเขมรแดง อย่างนายพล พต ฯลฯ ได้มาจากการเข่นฆ่าพี่น้องร่วมชาติพันธุ์เดียวกันนั้น มันทำให้เขาเป็นสุขและภาคภูมิใจกับชัยชนะที่ได้มาจริงๆ น่ะหรือ







ย้อนกลับไปเมื่อปี ค.ศ. 1975-1979 ชาวกัมพูชาประมาณ  1.4 ล้านคน ถูกทรมานและถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมทารุณอย่างไร้การเหลียวแล โดยเหตุการณ์สะเทือนใจครั้งนี้มีจุดเริ่มต้นจากการปกครองเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จในรัฐบาลของนายพล ลอน นอล ซึ่งทำการรัฐประหารยึดอำนาจมาจากสมเด็จเจ้านโรดมสีหนุ ทำให้นักศึกษาและประชาชนทั่วประเทศต้องลุกฮือขึ้นมาประท้วงและก่อการจลาจล จนรัฐบาลต้องออกมากล่าวหาว่าพวกเขาเป็นพวกซ้ายจัด สมควรที่จะต้องส่งทหารออกมาปราบปรามด้วยอาวุธ และนั่นก็ส่งผลให้ประชาชนชาวกัมพูชาต้องหลบหนีไปเข้าร่วมกับฝ่ายคอมมิวนิสต์หรือเขมรแดงที่นำโดยนายพล พต ที่ต่อมาสามารถโค่นล้มอำนาจของนายพล ลอน นอลได้ในที่สุด ท่ามกลางความยินดีของประชาชนชาวกัมพูชาที่ไม่รู้เลยว่า เหตุการณ์ในอนาคตที่จะเกิดกับพวกเขานั้นมันเหมือนกับการหนีเสือประจระเข้มากกว่า ซึ่งกว่าจะรู้ตัว... มันก็สายไปเสียแล้ว 

ทุ่งสังหารแห่งกองกำลังเขมรแดงและพิพิธภัณฑ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เขมรแดง ตั้งอยู่บนกิโลเมตรที่ 15ทางตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงพนมเปญ ซึ่งที่นี่ถือเป็นจุดที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด จากหลักฐานหัวกะโหลกมนุษย์ที่ถูกขุดค้นพบในบริเวณนี้กว่า 8,000 ชิ้น รวมทั้งชิ้นส่วนกระดูกและฟันอีกมากมายที่ยังไม่ย่อยสลายไปตามธรรมชาติ จึงทำให้เชื่อได้ว่าชาวกัมพูชาที่ถูกฆ่าอย่างโหดร้ายในทุ่งสังหารนี้ย่อมมีไม่ต่ำกว่า 17,000 คน จากยอดผู้เสียชีวิตมากกว่าล้านคนทั่วประเทศ โดยทั้งหมดถูกขนย้ายมาจากคุกหมายเลข 21 หรือโตสะแลง (Security Prison 21) ที่ดัดแปลงมาจากโรงเรียนเพื่อใช้เป็นสถานที่คุมขังและทรมานนักโทษชาวกัมพูชา ซึ่งหากนักโทษคนไหนที่รอดตายจากการทรมานที่โหดร้ายจนกว่าผู้คุมจะพอใจแล้ว พวกเขาก็จะถูกขนลำเลียงมาที่ทุ่งสังหารแห่งนี้เพื่อฆ่าทิ้งและฝังกลบในคราวเดียว







และนั่นก็ผ่านมาเกือบ 40 ปีแล้ว สำหรับเหตุการณ์สะเทือนใจอีกครั้งของโลก กับความโหดเหี้ยมทารุณของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง วันนี้ทุ่งสังหารและพิพิธภัณฑ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่สนใจในเรื่องราวของประวัติศาสตร์ แต่กระนั้นสถานที่แห่งนี้ก็เต็มไปด้วยร่องรอยที่ก่อเกิดความหดหู่ใจแก่ผู้มาเยือน ด้วยภาพของหัวกะโหลกและชิ้นส่วนกระดูกมากมายที่ถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบภายในเจดีย์ที่สร้างขึ้นมาใหม่ จำนวนหลุมฝังศพขนาดใหญ่กว่าร้อยหลุม ภาพถ่ายของผู้เสียชีวิตทั้งหมดที่ดวงตาของพวกเขาบ่งบอกถึงความสิ้นหวัง รวมถึงภาพวาดที่บอกเล่าเรื่องราวความโหดเหี้ยมของเหล่าทหารเขมรแดง ฯลฯ 

ทั้งหมดนี้คือตัวอย่างภาพสะท้อนของผู้ที่ได้มาซึ่งอำนาจโดยไม่เลือกวิธีการ แม้ว่าจะต้องกำจัดเพื่อนร่วมชาตินับล้านก็ตาม วันนี้แม้นายพล พต จะเสียชีวิตไปแล้วโดยที่ไม่ได้รับโทษที่เขาก่อไว้แต่อย่างใด แต่ช่วงสุดท้ายของชีวิตที่ต้องทรมานด้วยโรคที่รุมเร้า และการต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ ด้วยความกลัวและหวาดระแวงตลอดเวลา ก็เป็นคำตอบสำหรับชาวโลกแล้วว่า อำนาจที่ได้มาอย่างไม่ชอบธรรมนั้นไม่มีทางที่จะมั่นคงและยั่งยืน เพราะประวัติศาสตร์ที่ผิดพลาดนั้นถูกเขียนขึ้นเพื่อให้เราได้ศึกษาและก้าวข้ามไป มิใช่เพื่อให้ใครเดินตาม....