วันศุกร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2556

เกาะเจจู ...มรดกแห่งความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ ตอนที่ 1

เกาะเจจูหรือเกาะเชจูเป็นเกาะที่ตั้งอยู่ทางใต้ของกรุงโซล และถือเป็นอีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญในแถบชายฝั่งด้านเหนือส่วนกลางของประเทศเกาหลีใต้ อีกทั้งยังติดอันดับจุดหมายปลายทางในฝันยอดนิยมทั้งจากนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีเองและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ นอกจากนั้นเกาะเจจูยังเป็นเกาะที่สำคัญเนื่องจากมีตำแหน่งเป็น 1 ใน 9 จังหวัดของเกาหลีใต้ รวมถึงยังได้รับการจดทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกทางธรรมชาติของโลกอีกด้วย อันเป็นผลมาจากความสวยงามและความมหัศจรรย์ของเกาะแห่งนี้ที่ธรรมชาติได้บรรจงแต่งแต้มและสร้างสรรค์ได้อย่างลงตัว

ไม่เพียงเท่านั้น เกาะเจจูยังมีศักยภาพทางการท่องเที่ยวไม่แพ้เมืองใหญ่อื่นๆ ในถิ่นโสมขาวแห่งนี้ เพราะนอกจากเสน่ห์ของแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอันแสนจะโรแมนติก และวัฒนธรรมที่ดึงดูดให้ใครต่อใครอยากมาเยือนที่นี่แล้ว ในเรื่องของการเดินทางและการขนส่ง เกาะเจจูก็เพียบพร้อมทั้งสนามบินนานาชาติบนเกาะ รวมทั้งยังมีท่าเรือเฟอร์รี่ที่ทันสมัยและสะดวกสบาย ส่วนในเรื่องของอาหารการกิน และที่พักนั้นก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเมืองที่ตั้งอยู่บนแผ่นดินใหญ่แต่อย่างใด






10 สถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจในเกาะเจจู

ถ้ำหินลาวา ยอดเขาคอมุน 



ถ้ำหินลาวาในเกาะเจจูนั้นมีกว่าร้อยแห่ง แต่สถานที่ที่ถือเป็นสุดยอดของถ้ำหินลาวานั้นอยู่ในบริเวณยอดเขาคอมุนที่อยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะ ซึ่งเป็นถ้ำที่เกิดขึ้นจากการระเบิดลาวาจากยอดเขาจนกลายเป็นถ้าหินลาวามากมายกระจายไปทั่วบริเวณ ไม่ว่าจะเป็นถ้ำมันจางกูล ถ้ำแบ็งดีกูล ถ้ำคิมนยองกูล ถ้ำยงชอนดงกูล ถ้ำดังชอมูลดงกูล เป็นต้น โดยแต่ละถ้ำก็จะมีเอกลักษณ์และลักษณะที่แตกต่างกันออกไป โดยเฉพาะถ้ำยงชอนดงกูลและถ้ำดังชอมูลดงกูลอันประกอบไปด้วยหินปูนที่มีรูปทรงที่สวยงามและหรูหราที่สุดเมื่อเทียบกับถ้ำอื่นๆ ที่เหลือ

ภูเขาฮัลลาซาน



ภูเขาฮัลลาซานคือภูเขาไฟที่ดับแล้วซึ่งมีความสูงถึง 1,950 เมตร ถือว่าเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในเกาหลีใต้ และตั้งอยู่ตรงกลางของเกาะเจจู โดยจุดเด่นของภูเขาลูกนี้คือปล่องภูเขาไฟอันมีเส้นรอบวงที่กว้างถึง 550 เมตร และลึก 108 เมตร อีกทั้งในใจกลางกล่องนั้นมียังมีทะเลสาบเล็กๆ อยู่ด้วย สำหรับลักษณะภายนอกของฮัลลาซานนั้นมีรูปทรงคล้ายโล่ที่อยู่ในทรงคว่ำ อีกทั้งที่นี่ยังถือว่ามีระบบนิเวศที่ยอดเยี่ยมด้วยสัตว์ป่านานาชนิดและพืชพรรณที่หลากหลาย

อ่าวซอพจิโกจิ



อ่าวซอพจิโกจิเป็นอ่าวขนาดเล็กตามความหมายของชื่อ ตั้งอยู่ทางชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะเจจู ซึ่งในอดีตที่นี่เป็นเพียงแค่พื้นที่แหลมติดทะเลอันมีทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่ และเต็มไปด้วยโขดหินรูปร่างแปลกตา แต่มันก็ไม่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวมากนัก ต่อมาได้มีการสร้างโบสถ์ ประภาคาร และอาคารต่างๆ ขึ้นในบริเวณนี้เพื่อใช้เป็นฉากหลังในการถ่ายทำละคร เนื่องจากความพิเศษของที่นี่คือในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ดอกยูแชสีเหลืองสดจะผลิดดอกบานสะพรั่งเต็มท้องทุ่งไปหมด ซึ่งเป็นภาพที่ติดตาผู้ชมจนทำให้ที่นี่กลายมาเป็นสถานที่ที่โรแมนติกที่สุดของเกาะเจจูในปัจจุบัน

โขดหินจูซังจอลรีแด




จูซังจอลรีแดคือโขดหินที่มีลักษณะแปลกแตกต่างจากโขดหินทั่วๆ ไป คือจะมีรูปทรงเป็นเสาหกเหลี่ยมซ้อมกันเป็นชั้นๆ เรียงกันลงไปจนถึงชายฝั่ง โดยทั้งหมดนี้เป็นความมหัศจรรย์ที่ถูกสร้างสรรค์จากน้ำมือของธรรมชาติล้วนๆ ซึ่งโขดหินจูซังจอลรีแดนี้เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งบนเกาะเจจู อีกทั้งยังถูกขึ้นทะเบียนให้เป็นอนุสาวรีย์ธรรมชาติของเกาหลีอันดับที่ 443 อีกด้วย

น้ำตกจองบัง




น้ำตกจองบังเป็นน้ำตกอันมีชื่อเสียงอีกแห่งในเกาะเจจู อีกทั้งยังมีจุดขายที่สำคัญคือเป็นน้ำตกแห่งเดียวในทวีปเอเชียที่ตกลงสู่ทะเล ในระดับความสูงถึง 23 เมตร โดยตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเกาะเจจู นอกจากนี้จองบังยังได้ชื่อว่าเป็นน้ำตก 1 ใน 3 ของน้ำตกที่ได้รับความนิยมสูงสุดบนเกาะเช่นเดียวกับน้ำตกชองจิยอนและน้ำตกชอนจียอนอีกด้วย

ยอดเขาซองซันอิลชุน


ยอดเขาซองซันอิลซุนเป็นภูเขาที่ดับสนิทแล้วและมีความสูงประมาณ 180 เมตร มีลักษณะเป็นปากปล่องภูเขาไฟที่เกิดจากการระบิดของภูเขาไฟในทะเลน้ำตื้นเมื่อ 5,000 ปีมาแล้ว ตั้งอยู่ภายในหมู่บ้านเล็กๆ สุดปลายด้านตะวันออกของเกาะเจจู ซึ่งที่นี่ก็เป็นสถานท่องเที่ยวที่สวยงามและมีชื่อเสียงที่สุดอีกแห่งหนึ่งบนเกาะสวรรค์แห่งนี้ โดยนักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมาชมพระอาทิตย์ขึ้นบนจุดชมวิวในบริเวณปากปล่องของภูเขาไฟ และที่สำคัญที่สุดคือยอดเขาแห่งนี้ได้ถูกรับรองให้เป็นมรดกโลกอันดับที่ 1 ของเกาหลีใต้อีกด้วย

น้ำตกชอนจียอน


น้ำตกชอนจียอนมีความหมายว่าเป็นบ่อน้ำของจักรพรรดิแห่งสวรรค์ ทั้งยังมีตำนานเล่าขานว่า ในช่วงกลางคืนมักจะมีนางไม้ทั้งหมด 7 ตน ลงมาอาบน้ำที่นี่อยู่เสมอ สำหรับชอนจียอนนั้นถือว่าเป็นน้ำตกอีก 1 แห่งที่มีชื่อเสียงที่สุดของเกาะ มีความสูงทั้งหมด 3 ชั้น โดยชั้นแรกเป็นหน้าผาสูง 22 เมตร ซึ่งน้ำที่ตกลงมาจะไหลลงสู่บ่อชอนจียอนที่อยู่ด้านล่าง ก่อนจะไหลไปสู่น้ำตกชั้นที่ 2 และชั้นที่ 3 เป็นลำดับ ก่อนจะไหลลงสู่ทะเล นอกจากนี้ยังการสร้างสะพานซอนอินเกียวที่แกะสลักลวดลายเป็นรูปนางไม้ทั้ง 7 อย่างสวยงาม ส่วนบริเวณรอบๆ ก็ร่มรื่นด้วยพืชพรรณนานาชนิดที่หายาก

โขดหินรูปหัวมังกร


โขดหินรูปหัวมังกรหรือชื่อในภาษาเกาหลีคือยงดูอัมร็อก ซึ่งเป็นโขดหินบะซอลต์ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกของเกาะ โดยรูปร่างที่มองเห็นในปัจจุบันนั้นเกิดจากก้อนหินเหล่านี้ได้ถูกคลื่นลมในทะเลกัดกร่อนเป็นเวลานาน จนทำให้มีสภาพและรูปทรงที่มองดูคล้ายกับหัวมังกรที่กำลังอ้าปากผุดขึ้นมาจากท้องทะเล นอกจากนั้นยังมีตำนานพื้นบ้านเล่าขานว่า เมื่อหลายพันปีมาแล้วมังกรตัวนี้กำลังจะไปเสาะหายาอายุวัฒนะที่ภูเขาฮัลลาซาน แต่ถูกยิงตกลงในทะเลเสียก่อน ต่อมาจึงได้กลายมาเป็นโขดหินแห่งนี้ 

หมู่บ้านพื้นเมืองชองอึพ


หมู่บ้านพื้นเมืองชองอึพเป็นเขตอนุรักษ์วัฒนธรรมพื้นบ้านและวิถีชีวิตในแบบดั้งเดิมของชาวเกาะเจจู ซึ่งในอดีตที่นี่เคยเป็นศูนย์กลางด้านการปกครองของเกาะมาก่อน ดังนั้นภายในหมู่บ้านจึงมีหน่วยงานราชการเก่าอยู่หลายหลัง และสิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือ ชาวบ้านของที่นี่ล้วนแต่เป็นมิตร โดยพวกเขาอาศัยอยู่ภายในบ้านที่สร้างด้วยหินและมุงหลังคาด้วยฟาง ทั้งยังมีกำแพงหินล้อมรอบตามแบบนิยมในสมัยโบราณ

เกาะอุโด้


เกาะอุโด้เป็นเกาะที่ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของเกาะเจจู ซึ่งคำว่าอุโด้ในภาษาเกาหลีนั้นหมายความว่าเกาะวัว อันเนื่องมาจากลักษณะของเกาะที่มองดูคล้ายวัวกำลังนอนหมอบ โดยเกาะแห่งนี้มีจุดเด่นในเรื่องของความสวยงามของธรรมชาติ และความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศน์ ซึ่งจุดขายที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดก็คือหาดทรายปะการัง เพราะทรายที่หาดแห่งนี้เกิดจากปะการังที่ตายแล้วทับถมกันกลายเป็นทรายที่ค่อนข้างมีความหยาบ แต่ก็มีความขาวกว่าหาดทรายตามปกติ ส่วนจุดเด่นอีกอย่างก็คือน้ำทะเลอันมี 2 สีตัดกันอย่างเด่นชัด คือสีฟ้าใสในบริเวณใกล้ชายฝั่ง ที่ตัดกับสีน้ำเข้มในพื้นที่ที่ลึกลงไป ซึ่งก็มีสาเหตุมาจากหินลาวาสีดำจาการปะทุของภูเขาไฟที่อยู่ใต้น้ำนั่นเอง

และทั้งหมดนี้ก็คือสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญและน่าสนใจจำนวน 10 แห่งที่ "Mushroom Travel" รวบรวมมาเพื่อทุกท่าน ทั้งนี้เกาะเจจูยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจและมีเสน่ห์เฉพาะตัวอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นภูเขา ชายหาด ป่าไม้ น้ำตก สวนสนุก เป็นต้น เรียกได้ว่าไม่สามารถเที่ยวได้หมดภายในแค่วันเดียว และสำหรับตอนที่ 2 ของ "เกาะเจจู ...มรดกแห่งความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ" นั้น เราจะพาท่านไปเรียนรู้วัฒนธรรมของชาวเกาะเจจู ชิมอาหารพื้นเมือง รวมถึงเราจะพาท่านไปร่วมงานเทศกาลสำคัญๆ ของเกาะเจจูด้วยกัน โปรดติดตามตอนต่อไป... 

หรือหากท่านใดมีความสนใจอยากไปสัมผัสเสน่ห์ของเกาะเจจูด้วยตัวเอง "Mushroom Travel" เปิดเส้นทางท่องเที่ยวเกาะเจจูเต็มรูปแบบ เพื่อนำท่านบินลัดฟ้าสู่เกาะที่ได้ชือว่าโรแมนติกและมีอากาศดีตลอดปีแล้ววันนี้ โดยมาพร้อมกับโปรโมชั่นสุดคุ้ม "ลดทันทีไม่มีกั๊ก!! เมื่อยกก๊วนชวนเพื่อนเที่ยวเกาะเจจู" ซึ่งโปรโมชั่นโดนๆ แบบนี้มีจนถึงสิ้นเดือนตุลาคมนี้เท่านั้น




วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2556

Japan's Flower Festival...สุดยอดเทศกาลชมดอกไม้ในประเทศญี่ปุ่น


สำหรับวัฒนธรรมของญี่ปุ่นแล้ว ฤดูกาลถือว่ามีความสำคัญที่สุด และดอกไม้นานาพรรณก็เป็นเหมือนกระจกที่สะท้อนถึงแต่ละฤดูกาล และบ่งบอกถึงช่วงเวลาที่กำลังมาถึง ซึ่งสอดคล้องกับความนิยมในการชมดอกไม้ของคนญี่ปุ่นที่มีมานาน จนในที่สุดการชมดอกไม้ก็กลายเป็นเทศกาลที่มีชื่อเสียงที่สุดของญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทศกาลชมดอกซากุระ

ฮะนะมิคือประเพณีดั้งเดิมของประเทศญี่ปุ่น หรือที่เรียกง่ายๆ ว่าประเพณีการชมและเพลิดเพลินกับความงามของดอกไม้ ซึ่งเกิดขึ้นมานานกว่าพันปี ซึ่งจะถูกจัดขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ผลิ โดยดอกซากุระจะบานเพียงหนึ่งหรือสองสัปดาห์เท่านั้น นั่นคือในช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายน นอกจากนี้ยังมีธรรมเนียมหนึ่งของฮะนะมิที่เก่าแก่กว่าการชมซากุระ นั่นก็คือการฉลองการบานของดอกอุเมะหรือดอกบ๊วยนั่นเอง

สุดยอดดอกไม้สายพันธุ์ยอดนิยมของญี่ปุ่น

ดอกอุเมะ ดอกท้อ หรือดอกบ๊วย


ดอกอุเมะ ดอกท้อ หรือดอกบ๊วยเป็นดอกไม้ฤดูหนาว ลักษณะมีกลีบดอก 5 กลีบ และมีสีสันที่สดใสและหลากหลาย ตั้งแต่สีชมพู สีขาว สีแดงสด และสีแดงเข้ม มักจะผลิบานในช่วงประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์จนถึงสิ้นเดือนมีนาคม ซึ่งชาวญี่ปุ่นนั้นเชื่อว่าดอกอุเมะเป็นดอกไม้ที่สร้างสีสันแห่งการรอคอยอากาศที่อบอุ่นในช่วงฤดูใบไม้ผลิ จะบานตั้งแต่ช่วงฤดูหนาว เรื่อยไปจนถึงเดือนมีนาคม ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญสำหรับการชมดอกอุเมะก็คือที่โยชิโนะไบโกะ ที่นี่มีต้นบ๊วยสีขาวและสีแดงมากว่า 25,000 ต้น ที่จะผลิดอกบานสะพรั่งพร้อมกันไปทั่วบริเวณ ส่วนการเดินทางก็สะดวกสบาย แค่นั่งรถไฟเจอาร์สายโอเมะไปสิ้นสุดปลายปลายที่สถานีโอเมะ แล้วต่อด้วยรถบัสสายที่มุ่งหน้าไปที่โยชิโนะแล้วลงที่โยชิโนะไบโกะเท่านั้น

ดอกซากุระหรือดอกเชอร์รี่บลอสซั่ม


ดอกซากุระคือดอกไม้ประจำชาติของญี่ปุ่น ซึ่งมีลักษณะเด่นคือ เมื่อสิ้นฤดูกาลเบ่งบาน ดอกซากุระก็จะพากันร่วงพร้อมกันหมดทั้งต้น จึงเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นทหารและวิถีความเป็นบูชิโดของชนชาติญี่ปุ่นนั่นเอง สำหรับชาวญี่ปุ่นแล้ว ฤดูที่พวกเขาชื่นชอบมากที่สุดก็คือช่วงฤดูที่ดอกซากุระบาน ซึ่งจะเห็นได้จากวัฒนธรรมการชมดอกซากุระของคนที่นี่ที่มีต่อเนื่องยาวนานมากว่า 1,300 ปี โดยทุกปีก่อนถึงช่วงบานของดอกซากุระ กรมอุตุนิยมวิทยาจะออกมาพยากรณ์ให้ทราบล่วงหน้าเสียก่อน เพราะสามารถคลาดเคลื่อนได้ตามสภาพอากาศ เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญของชาวญี่ปุ่น เนื่องจากซากุระถือเป็นดอกไม้ที่ล้ำค่าสำหรับพวกเขา และมันจะเบ่งบานในแต่ละจุดเพียงแค่ประมาณหนึ่งสัปดาห์เท่านั้น 

สำหรับช่วงเวลาที่เหมาะสมในการชมดอกซากุระนั้นจะเริ่มตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม ไปจนถึงช่วงต้นเดือนพฤษภาคมของทุกปี ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศด้วย ซึ่งตามปกติแล้วจะเป็นช่วงเวลาที่อากาศกำลังเย็นสบาย ไม่หนาวหรือร้อนจนเกินไป และเนื่องจากประเทศญี่ปุ่นมีลักษณะเป็นแนวตั้ง ดังนั้นการเบ่งบานของดอกซากุระจะเริ่มที่ส่วนล่างของประเทศก่อน ในบริเวณหมู่เกาะโอกินาว่า เรื่อยมาจนถึงโอซาก้า เกียวโต นาโงย่า โตเกียว และฮอกไกโดเป็นพื้นที่สุดท้าย โดยบริเวณที่มีต้นซากุระมากที่สุดก็คือที่ภูเขาโยชิโนะ จังหวัดนารา ที่นี่มีจำนวนของต้นซากุระอยู่มากถึง 30,000 ต้นเลยทีเดียว

ดอกทิวลิป


ดอกทิวลิปถือเป็นดอกไม้ยอดนิยมอีกชนิดหนึ่งของฤดูใบไม้ผลิ โดยเชื่อกันว่าถิ่นกำเนิดของดอกทิวลิปนั้นมาจากแถบตะวันออกกลางเมื่อพันกว่าปีที่ผ่านมา แล้ว สำหรับประเทศญี่ปุ่นเองก็มีความนิยมดอกไม้ชนิดนี้อยู่ไม่น้อย ดังจะเห็นได้จากหลายๆ สถานที่ในญี่ปุ่นได้มีการปลูกทิปลิปเป็นจำนวนมาก รวมทั้งยังมีเทศกาลชมดอกทิวลิปที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีอีกด้วย อย่างเช่นเทศกาลชมดอกทิวลิปที่เมืองคะมิยูเบทสึ บนเกาะฮอกไกโด ที่นี่เป็นอุทยานที่เต็มไปด้วยดอกทิวลิปสีสันสดใสกว่า 1.2 ล้านต้น จาก 120 สายพันธุ์ ส่วนอีกแห่งที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กันก็คือเทศกาลดอกทิวลิปที่จัดขึ้นที่สวนสนุก Huis Ten Bosch เป็นต้น

ดอกชิบะซากุระหรือพิงค์มอส 


ดอกชิบะซากุระหรือพิงค์มอสนั้นเป็นพืชคลุมดิน มีลักษณะเป็นไม้ดอกแบบล้มลุก มีความสูงเต็มที่ประมาณ 1 ฟุต ดอกมีสีขาวและสีชมพูเป็นหลัก ส่วนขอบดอกนั้นมีลักษณะรอยตัดเข้าไปคล้ายกับดอกซากุระ ดังนั้นคนญี่ปุ่นจึงตั้งชื่อดอกไม้ชิดนี้ว่าชิบะซากุระนั่นเอง ส่วนช่วงที่ดอกชิบะซากุระจะเบ่งบานอวดโฉมให้ชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวได้ชื่นชมนั้นอยู่ในช่วงต้นเดือนเมษายนไปจนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม โดยสถานที่อันมีชื่อเสียงสำหรับการชมดอกชิบะซากุระก็คือเมืองทาคิโนะอุเอะ ที่ตั้งอยู่ทางเหนือของเกาะฮอกไกโด ซึ่งเป็นสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ครอบคลุมพื้นที่กว่า 100,000 ตารางเมตร ทั้งภูเขา และน้ำตก ดังนั้นเมื่อถึงช่วงที่ดอกชิบะซากุระเบ่งบาน พื้นที่แห่งนี้ก็จะมีลักษณะคล้ายกับมีใครมาปูพรมสีชมพูเต็มพื้นที่ไปหมด ทั้งทุ่งกว้าง และเนินเขา อันเป็นภาพที่สวยงามดังภาพวาดเลยทีเดียว

ดอกฟูจิหรือวิสทีเรีย


ดอกฟูจิหรือดอกวิสทีเรียเป็นไม้เลื้อยตระกูลถั่ว อันมีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปเอเชีย เช่น เกาหลี จีน และญี่ปุ่น มีสายพันธุ์ประมาณ 10 สายพันธุ์ ดอกมีสีขาว ชมพู ม่วงคราม และสีแดง อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมหวานด้วย สำหรับประเทศญี่ปุ่น ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ สิ่งที่นำความภาคภูมิใจและดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติให้ไปเยือนญี่ปุ่นไม่น้อย หนึ่งในนั้นก็คือดอกฟูจิ โดยเฉพาะที่เมืองอาชิคางะบนเกาะฮอนชูนั้นได้รับการยอมรับว่ามีอุโมงค์ดอกฟูจิที่สวยงามที่สุดในโลกอยู่ที่นี่ ซึ่งที่นี่เป็นสวนสาธารณะขนาด 20 เอเคอร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น โดยดอกฟูจิที่นี่จะบานในช่วงระหว่างเดือนเมษายน- เดือนพฤษภาคมของทุกปี นอกจากนั้นก็ยังมีสถานที่อื่นๆ อีกได้แก่วัดโจเซ็นจิหรือวัดฟูจิที่ตั้งอยู่ในจังหวัดฟุกุโอกะ ซึ่งมีต้นฟูจิอันมีอายุเก่าแก่มากกว่า 500 ปี ส่วนในโตเกียวก็มีงานเทศกาลชมดอกฟูจิเช่นกัน โดยจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีที่ศาลเจ้าคะเมโดะเทนจินจะ 

ดอกบาระหรือดอกกุหลาบ    


ดอกบาระหรือดอกกุหลาบคือดอกไม้ประจำจังหวัดอิบารากิ ประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากคำว่าบาระนั้นเป็นคำที่เชื่อมโยงกับชื่อของจังหวัด ซึ่งก็คืออิบารากินั่นเอง ดังนั้นจังหวัดอิบารากิจึงได้ประกาศให้ดอกกุหลาบเป็นดอกไม้ประจำจังหวัดตั้งปี ค.ศ. 1966 เป็นต้นมา นอกจากนี้ดอกบาระหรือดอกกุหลาบก็ยังเป็นดอกไม้ยอดนิยมของชาวญี่ปุ่นอีกหนึ่งชนิด โดยสถานที่อันมีชื่อเสียงในการชมดอกกุหลาบนั้นได้แก่ที่สวนกุหลาบอิวะมิซาวะ พาร์ค ซึ่งที่มีต้นกุหลาบมากกว่า 22,000 ต้น กว่า 243 สายพันธุ์ บนสวนที่มีขนาดกว้างขวางถึง 40,000 ตารางเมตร โดยในช่วงตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายนจนถึงกลางเดือนตุลาคม ดอกกุหลาบทั้งหมดในสวนก็จะพร้อมใจกันเบ่งบานเต็มพื้นที่ในทุกตารางนิ้วของสวนแห่งนี้ 

ดอกอาจิไซหรือดอกไฮเดรนเยีย


ดอกอาจิไซหรือไฮเดรนเยียเป็นพันธุ์ไม้ที่มีถิ่นกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ที่แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มกว้าง  มีดอกหลายสี ทั้งสีขาว ชมพู และสีฟ้าที่เรามักเห็นกันอยู่บ่อยๆ ดังชื่ออาจิไซที่หมายถึงสีฟ้าที่รวมเป็นกระจุกและค่อยๆ เปลี่ยนสีนั่นเอง โดยในประเทศญี่ปุ่นนั้นดอกอาจิไซจะเบ่งบานในช่วงต้นเดือนมิถุนายนจนถึงช่วงกลางเดือนกรกฎาคมอันถือเป็นช่วงฤดูฝน ดังนั้นจึงทำให้อาจิไซกลายเป็นสัญลักษณ์ของฤดูฝนของญี่ปุ่นไปโดยปริยาย

สำหรับสถานที่ชมดอกอาจิไซหรือดอกไฮเดรนเยียในประเทศญี่ปุ่นนั้นก็มีอยู่หลายที่ แต่สถานที่ที่นักท่องเที่ยวรวมทั้งชาวญี่ปุ่นเองให้ความนิยมนั้นก็มีที่วัดมิมูโรโตะจิที่เกียวโต ซึ่งที่นี่มีสวนขนาดพื้นที่ประมาณ 16,500 ตารางเมตร อันเต็มไปด้วยดอกอาจิไซที่บานสะพรั่งกว่าหนึ่งหมื่นต้น ถึง 30 ชนิด เรียงรายไปตามไหล่เขาทั้งสีฟ้า สีม่วง สีขาว และสีชมพู ส่วนอีกสถานที่ก็คือสวนของปราสาทโอซาก้า ซึ่งถึงแม้ที่นี่จะเป็นสวนไม่ใหญ่นัก แต่ก็มีอาจิไซหลายสายพันธุ์ให้ชมโดยมีปราสาทโอซาก้าเป็นฉากหลังที่สวยงาม นอกจากนั้นก็ยังมีอีกหลายๆ ที่อย่างเช่นตามสวนสาธารณะและในวัดวาอารามในเขตคันไซ เป็นต้น รวมทั้งที่สวนนูกาตะเอ็นชิ ที่ดอกอาจิไซจะเริ่มเบ่งบานต้อนรับผู้มาเยือนในช่วงระหว่างกลางเดือนมิถุนายนถึงกลางเดือนกรกฎาคมของทุกปี และวัดยาตะในเขตนาระ ที่คนส่วนใหญ่มักเรียกที่นี่ว่าวัดอาจิไซ เนื่องจากภายในวัดนั้นเต็มไปด้วยดอกอาจิไซหลากสีหลายพันธุ์นั่นเอง

ดอกฮะนะโชบุหรือดอกไอริสญี่ปุ่น


ดอกฮะนะโชบุหรือดอกไอริสญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในดอกไม้ประจำฤดูฝนของญี่ปุ่นที่มีไม่มากนัก มีลักษณะคล้ายกับดอกไอริสทั่วไปหากมองเพียงผิวเผิน แต่จริงๆ แล้วมีความแตกต่างกัน โดยได้รับการพัฒนาสายพันธุ์เมื่อราว 500 ปีก่อนในยุคเอโดะปลูกในที่ชื้นมีน้ำเลี้ยงตลอด เดิมทีเป็นไม้ดอกที่ขึ้นตามป่าเขาหรือลำธาร แต่มาได้รับการพัฒนาพันธุ์เมื่อราว 500 ปีที่แล้ว ในสมัยเอะ จึงทำให้ดอกไอริสของญี่ปุ่นนั้นมีหลายชนิดกว่าประเทศอื่นๆ โดยชาวญี่ปุ่นกล่าวไว้ว่า วันที่ดอกไอริสนั้นจะงามที่สุดก็คือวันหลังจากที่ฝนตกใหม่ๆ เพราะหยดน้ำที่ติดอยู่ปลายกลีบสีสดใสนั้นจะทำให้ไอริสดูสดชื่นมากยิ่งขึ้น 

สำหรับเทศกาลชมดอกไอริสนั้นจัดขึ้นที่สวนสาธารณะชิโรคิตะที่ตั้งอยู่บริเวณริมแม่น้ำโยโดะ  ณ เมืองโอซาก้า ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนมิถุนายนของทุกปี ซึ่งทุกตารางพื้นที่ทั้งหมดของสวนแห่งนี้จะถูกแต่งแต้มไปด้วยสีสันของดอกไอริส ซึ่งแข่งขันกันเบ่งบานอวดโฉมให้ผู้มาเยือนได้บันทึกความงามกันอย่างเต็มที่ทั้งสีขาว สีม่วง และสีฟ้าสด บนพื้นที่กว่า 1.3 เฮกเตอร์ โดยที่นี่มีไอริสสายพันธุ์ต่างๆ กว่า 250 ชนิด มากว่า 13,000 ต้น 

ดอกฮิมาวาริหรือดอกทานตะวัน


ดอกทานตะวันหรือดอกฮิมาวาริเป็นพืชพื้นเมืองของอเมริกา และแพร่ขยายเข้าไปในทวีปยุโรปเมื่อศตวรรษที่ 16 พร้อมๆ กับน้ำมันดอกทานตะวัน ที่นิยมนำมาเครื่องปรุงอาหารอย่างกว้างขวาง นอกจากนั้นทานตะวันยังมีความสามารถพิเศษในการสกัดสารพิษจากดิน เช่น ตะกั่ว สารหนู และยูเรเนียมอีกด้วย ดังนั้นชาวญี่ปุ่นจึงรณรงค์ให้มีการปลูกทานตะวันกันมากหลังจากเหตุภัยพิบัตินิวเคลียร์ที่ฟุกุชิมะ

สำหรับจุดชมดอกทานตะวันที่ญี่ปุ่นนั้นก็มีอยู่ด้วยกันหลายที่ ซึ่งก็ได้แก่ ทุ่งทานตะวันเมืองซามะ จังหวัดคานากาวะ ที่ในช่วงเดือนกรกฎาคม ถึงสิงหาคมจะมีการจัดงานเทศกาลชมดอกทานตะวันด้วย ที่นี่มีทานตะวันกว่า 500,000 ต้น บานสะพรั่งเต็มพื้นที่ทั่วทุกมุม และอีกแห่งที่ถือว่ามีชื่อเสียงและใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นก็คือ ทุ่งดอกทานตะวันแห่งเมืองโฮคุเรียว จังหวัดฮอกไกโด ดอกทานตะวันของที่นี่มีมากกว่า 1.3 ล้านต้น ในพื้นที่ขนาด 231,000 ตารางเมตร ซึ่งในช่วงเดือนกรกฎาคม ถึงสิงหาคม ทั่วทุกพื้นที่จะเต็มไปด้วยสีเหลืองสว่างใสของดอกทานตะวันที่แข่งกันผลิดอกเบ่งบานอย่างเต็มที่ 

ดอกลาเวนเดอร์


ลาเวนเดอร์เป็นดอกไม้สีม่วง ที่มีดอกเล็กๆ จำนวนมากเรียงกันเป็นวงรอบก้าน ทั้งยังเป็นพืชพื้นเมืองของอินเดีย ทางตะวันตกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และทางตอนใต้ของทวีปยุโรป เมื่อสองพันปีก่อนชาวอียีปต์ ชาวโพลินีเซียน และชาวอาหรับมักใช้ลาเวนเดอร์มาสกัดเป็นน้ำหอม และยารักษาโรค นอกจากนี้ในการทำมัมมี่ของชาวอียิปต์ ดอกลาเวนเดอร์ยังเป็นส่วนผสมที่สำคัญด้วย

ในประเทศญี่ปุ่น หากพูดถึงดอกลาเวนเดอร์ ต้องไปที่เมืองฟุราโนะ ฮอกไกโด ซึ่งที่นี่ในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม ดอกลาเวนเดอร์จะบานสะพรั่งเต็มเนินเขาสุดลูกหูลูกตา เหมือนประหนึ่งปูด้วยพรมสีม่วงสดละลานตา นักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติจึงมักนิยมมาที่กันเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นอีกที่ที่อยากแนะนำก็คือเมืองบิเอะซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองฟุราโนะมากนัก

ใบไม้เปลี่ยนสี


ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงของญี่ปุ่นนั้น สิ่งที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดก็คือการไปชมใบไม้เปลี่ยนสี ซึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นนั้นสามารถหาชมได้ง่ายมากๆ ทั่วทุกเมืองของประเทศ แต่หากนักท่องเที่ยวมีโอกาสได้ไปชมใบไม้เปลี่ยนสีในสถานที่ที่เต็มไปด้วยต้นไม้อย่างกลางภูเขา ก็จะทำให้ได้รับความประทับใจมากยิ่งขึ้นไปอีก โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศญี่ปุ่นหรือในเขตโทโฮคุ และเส้นทาง Alpine Route ในเขตจูบุ อันมีธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ยิ่งน่าไปเที่ยวชมเป็นอย่างยิ่ง ส่วนในแถบเกียวโต ฮิโรชิม่า หรือในเขตคิวชู ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการชมใบไม้เปลี่ยนสีก็คือในช่วยกลางถึงปลายเดือนพฤศจิกายน