แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ทัวร์จีน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ทัวร์จีน แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2557

5 เมืองดีที่สุดในเอเชียสำหรับฉลองปีใหม่ 2015

อีกไม่กี่วันก็จะเข้าสู่ช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่แล้ว หลายๆ คนคงวางแผนไว้ในใจเรียบร้อยแล้วว่า จะเดินทางไปเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความสุขนี้กันที่ใด แต่ก็มีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ยังคิดไม่ออกว่าจะไปเที่ยวที่ไหน หรือจะวางแผนการเดินทางอย่างไรดี ดังนั้นมัชรูมทราเวลจึงขอเสนออีก 5 ทางเลือกของการเดินทางในทวีปเอเชียซึ่งมีธีมการจัดงานและวัฒนธรรมที่โดดเด่นแตกต่างกัน อีกทั้งยังได้ชื่อว่าเป็น 5 สถานที่สำหรับการจัดงานปาร์ตี้ส่งท้ายปีเก่าที่ดีที่สุดในภูมิภาคเอเชียอีกด้วย


1. สิงคโปร์

 

ประเทศสิงคโปร์นับว่ามีความเป็นสากลมากที่สุดในทั้งหมด 5 ตัวเลือกนี้ และมีการจัดงานที่มีความหลากหลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในคืนวันที่ 31 ธันวาคม ที่นี่มีทั้งการแสดงดอกไม้ไฟสุดอลังการเหนือขอบฟ้ามารีน่าเบย์แซนด์ ที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวหลากหลายเชื้อชาติมาร่วมนับถอยหลังส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่กันจนแน่นพื้นที่ ปาร์ตี้แบบสุดเหวี่ยงที่ชายหาดไซโลโซบนเกาะเซ็นโตซ่า ที่มีทั้งปาร์ตี้แบบแดนซ์กระจายต่อเนื่องแบบไม่หยุดพักตลอดช่วงกลางวัน รวมถึงสระโฟมขนาดใหญ่ไว้ให้นักท่องเที่ยวได้มันกันอย่างเต็มที่ และสิ่งพิเศษอีกอย่างของการมาเฉลิมฉลองเทศกาลในสิงคโปร์ก็คือ การนั่งกระเช้าลอยฟ้า Singapore Flyer เพื่อดูพลุไฟเหนืออ่าวมารีน่าและนับถอยหลังเข้าสู่วันใหม่นั่นเอง     

2. ไทเป

 

สำหรับการเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ที่ใกล้เข้ามาทุกทีๆ ไทเปถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก โดยในวันส่งท้ายปีเก่า นักท่องเที่ยวทั้งชาวต่างชาติและชาวจีนจะนิยมเดินทางไปยังตึกไทเป 101 ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของเมืองไทเป และยังมีสถานะเป็นอดีตตึกที่สูงที่สุดอีกด้วย โดยที่นี่จะมีการแสดงพลุและดอกไม้ไฟที่สวยงามและอลังการ ซึ่งออกแบบโดยผู้เชี่ยวชาญทางด้านพลุและดอกไม้ไฟจากประเทศฝรั่งเศส นอกจากนั้นยังมีการแสดงคอนเสิร์ตนับถอยหลังที่  Civic Plaza จากนักร้องนักแสดงชื่อดังทั้งจากฝั่งไต้หวันและจีนแผ่นดินใหญ่อีกด้วย

3. ฮ่องกง


 
หนึ่งในการแสดงพลุและดอกไม้ไฟที่งดงามที่สุดในเอเชีย แน่นอนว่าต้องเป็นที่ฮ่องกงนั่นเอง ซึ่งที่นี่ในช่วงเทศกาลปีใหม่ของทุกปีจะมีการแสดงพลุและดอกไม้ไฟเหนืออ่าววิคตอเรียที่ยิ่งใหญ่อลังการ และเรียกความสนใจได้ทั้งจากฝั่งเกาลูนและฮ่องกง รวมไปถึงการแสดงแสงสีเสียงเหนือท้องฟ้าของเกาะฮ่องกงที่น่าตื่นตาตื่นใจไม่น้อย ทำให้ในแต่ละปี ฮ่องกงกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมักนิยมมาเฉลิมฉลองเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่กันอย่างคับคั่ง 

4. ปักกิ่ง


 
แม้ว่าที่ประเทศจีน การเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่สากลจะไม่ได้รับความนิยมเทียบเท่ากับช่วงเทศกาลตรุษจีน แต่ในปัจจุบันตามเมืองใหญ่ๆ อย่างปักกิ่งหรือเซี่ยงไฮ้ก็มีการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่และได้รับความสนใจจากหนุ่มสาวชาวจีนรุ่นใหม่ไม่น้อย โดยที่ปักกิ่งนั้นจุดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือการนับถอยหลังสู่ปีใหม่ที่จัดขึ้นพระราชวังฤดูร้อนที่เต็มไปด้วยแสงสีเสียงที่อลังการและงดงาม ส่วนอีกที่ที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กันก็คือการจัดปาร์ตี้ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ณ  798 อาร์ตโซน สถานที่จัดแสดงงานศิลปะที่โดดเด่นของจีนนั่นเอง

 5. โตเกียว
 


สำหรับเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่โตเกียวนั้นมีความน่าสนใจมาก ตามประตูรั้วบ้านและห้างร้านของชาวญี่ปุ่นจะถูกประดับประดาด้วยใบสน ใบเฟิร์น ฟางข้าว และสิ่งมงคลต่างๆ จากนั้นในช่วงยามค่ำคืน พวกเขาก็จะหลั่งไหลไปที่ศาลเจ้าหรือวัดใกล้บ้านเพื่อไหว้พระขอพร โดยที่วัดและศาลเจ้าต่างๆ เหล่านั้นก็จะมีการจัดงานเทศกาล Okera Matsuri ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่เวลา 19.30 น. ของวันส่งท้ายปีเก่ายาวไปจนกระทั่งถึงเช้าของวันใหม่ นอกจากนั้นตามแหล่งบันเทิงที่มีชื่อเสียงในโตเกียวก็ยังมีการจัดงานปาร์ตี้ที่เต็มไปด้วยความบันเทิง อาทิ ย่านชิบูย่า ย่านชินจูกุ เป็นต้น 

วันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2557

7 ทิปส์เด็ด เที่ยวจีนอย่างไรให้ถึงพริกถึงขิง

สำหรับประเทศจีนที่ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลจนเรียกได้ว่าเป็นที่สุดของทวีปเอเชีย ทั้งยังมีประชากรอาศัยอยู่มากที่สุดในโลก นั่นคือ 1,347.3 ล้านคนโดยประมาณ แถมประเทศจีนยังมีภาษาถิ่นที่หลากหลายซึ่งนอกจากภาษาจีนกลางหรือแมนดารินอันเป็นภาษาราชการแล้วอีกกว่าร้อยภาษา ซึ่งต่อให้ใครที่ว่าแน่ระดับเซียนเมืองจีนแค่ไหน หรือต่อให้เดินทางรอบเมืองจีนชนิดร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ เอาเข้าจริงๆ ก็อาจพลาดชนิดตกไม้ตายอย่างคาดไม่ถึงได้ง่ายๆ เช่นกัน ดังนั้นสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีแผนจะเดินทางไปชมความยิ่งใหญ่และสวยงามของเมืองจีนแล้วล่ะก็ หากตัวเลือกของท่านคือการเดินทางไปกับบริษัททัวร์แล้วล่ะก็ แน่นอนว่าคงไม่มีอะไรให้ต้องกังวลอะไรมากมายนัก นอกจากจะกังวลเรื่องของสภาพดินฟ้าอากาศเพื่อเตรียมเสื้อผ้าให้เหมาะสมเท่านั้น แต่สำหรับนักท่องเที่ยวที่อาจไม่ได้ไปกับทัวร์แล้ว สิ่งที่ต้องกังวลและเตรียมตัวมันไม่ใช่แค่ในเรื่องของเสื้อผ้าเพียงอย่างเดียว ดังนั้นวันนี้มัชรูมทราเวลจึงมี 7 ทิปส์เด็ด เที่ยวจีนอย่างไรให้ถึงพริกถึงขิงมาฝากทุกท่าน เพื่อเป็นแนวทางสำหรับทริปเที่ยวเมืองจีนอย่างประทับใจและคุ้มค่ามากที่สุด




1. ประหยัดเงินในกระเป๋าด้วยการเลือกห้องพักที่เหมาะสม

โรงแรมในประเทศจีนนั้น หากไม่ใช่ระดับโรงแรมติดดาว ส่วนใหญ่มักไม่ค่อยใส่ใจในเรื่องของจำนวนเตียงภายในห้องพักนั้นเพียงพอต่อแขกผู้เข้าพักหรือไม่ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่มีเด็กเข้าพักด้วย ดังนั้นวิธีแก้ปัญหาง่ายๆ ที่ไม่ยุ่งยาก อีกทั้งยังประหยัดเงินในกระเป๋าสตางค์ไปได้อีกมากโข สำหรับนักท่องเที่ยวที่มีสมาชิกมากกว่า 2 คนก็คือ แทนที่คุณจะต้องจองห้องพักถึง 2 ห้อง ก็เปลี่ยนมาเลือกห้องพักในแบบ Twin beds room แทน Double bed room เพราะเตียงในห้องพักทั้งสองแบบนี้มีขนาดเท่ากันนั่นเอง

2. โหลดแอพฯ สำหรับแปลภาษาจีนไว้ในโทรศัพท์มือถือ

แม้ว่าหนุ่มสาวชาวจีนรุ่นใหม่จะเริ่มสามารถสื่อสารโดยใช้ภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดีหากเทียบกับเมื่อก่อน อย่างไรก็ตาม หากเมื่อลองเทียบเป็นอัตราส่วนแล้ว อาจจะมีชาวจีนเพียง 1 หรือ 2 คน จากทั้งหมด 10 คนเท่านั้นที่สามารถสื่อสารโดยใช้ภาษาสากลได้อย่างคล่องแคล่ว ดังนั้นอีกหนึ่งหนทางที่สะดวกสบายสำหรับนักท่องเที่ยวในยุคนี้ก็คือ การโหลดแอพลิเคชั่นแปลภาษาจีนลงในสมาร์ทโฟนหรือไอโฟนของคุณที่มีอยู่มากมายภาพใน App Store อย่างเช่น Pleco ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งแอพฯ ที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางไปท่องเที่ยวยังประเทศจีน เป็นต้น


3. พกพาไกด์บุ๊คดีๆ สักเล่มติดตัว

นอกจากแอพฯ แปลภาษาแล้ว ไกด์บุ๊คที่รวบรวมทริปเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับประเทศจีน อย่างเช่น เบอร์โทรสำคัญๆ วิธีการขึ้นรถลงเรือ จุดหมายปลายที่น่าสนใจพร้อมทั้งการเดินทางอย่างละเอียด แผนที่ ฯลฯ ก็มีประโยชน์ไม่แพ้กัน โดยเฉพาะสำหรับมือใหม่หัดเที่ยวจีนที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับดินแดนแห่งนี้ อีกทั้งยังไม่มีทักษะในการใช้ภาษาจีนเลย

4. กระดาษทิชชู่คือสิ่งที่ขาดไม่ได้ในจีน

แน่นอนว่าเมื่อพูดถึงเมืองจีนแล้ว ห้องน้ำที่นี่คือสิ่งที่หลายๆ คนทั้งที่ผ่านสมรภูมิจริงมาแล้ว และผู้ที่ยังไม่เคย ต่างกล่าวถึงเป็นอันดับต้น จนก่อเกิดความหวาดผวาตามมาในเรื่องของสุขภัยอนามัยและความสะอาดของห้องน้ำภายในประเทศจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้องน้ำสาธารณะที่ดูท่าจะสยดสยองจนเกินคาดเดา รวมทั้งในเรื่องของการขาดแคลนกระดาษทิชชู่อย่างรุนแรง ดังนั้นกระดาษทิชชู่จึงเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญเช่นกันสำหรับที่นี่ที่นักท่องเที่ยวควรพกติดตัวเอาไว้อย่าให้ขาด อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันจีนเริ่มมีการปรับปรุงคุณภาพห้องน้ำมากขึ้นกว่าแต่ก่อนเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่มีจำนวนสูงขึ้นทุกปี

5. อย่ากังวลมากนักสำหรับความปลอดภัย

จีนถือเป็นอีกหนึ่งประเทศในโลกที่ปัญหาอาชญากรรมรุนแรงอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ อันเนื่องมาจากบทลงโทษที่รุนแรงและเข้มงวดนั่นเอง ดังนั้นนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวที่นี่ไม่ว่าจะคนเดียว หรือหลายคนก็คงจะวางใจไปได้เปราะหนึ่ง แต่อย่างไรก็ดี ปัญหาอาชญากรรมเล็กๆ อย่างการล้วงกระเป๋า ลักเล็กขโมยน้อยก็พอมีบ้างประปรายดังเช่นประเทศอื่นๆ ดังนั้นนักท่องเที่ยวเองก็ไม่ควรประมาท และระมัดระวังเก็บทรัพย์สินของมีค่าให้ดีด้วย โดยพยายามหลีกเลี่ยงการพกพาเงินสดจำนวนมากๆ หรือหลีกเลี่ยงการสวมใส่เครื่องประดับราคาแพงในที่สาธารณะอย่างนี้ เป็นต้น



6. ไม่ต้องตกใจ หากพบเหตุการณ์โหวกเหวกโวยวาย

เมื่อคุณไปเที่ยวเมืองจีน แล้วในขณะที่กำลังเดินเที่ยวชมนกชมไม้อยู่นั้น จู่ๆ เสียงเอะอะโวยวายคล้ายคนทะเลาะกันก็ดังขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย หากคุณเจอเหตุการณ์คล้ายๆ แบบนี้ก็ไม่ต้องตกใจไปว่าคนจีนเขากำลังรบราฆ่าฟันกันหรืออย่างไร ซึ่งความจริงแล้ว คนจีนเป็นชนชาติที่ชอบพูดคุยกันเสียงดังจนบางครั้งฟังดูเหมือนว่าพวกเข้ากำลังทะเลาะกัน ทั้งๆ ที่เนื้อหาอาจจะแค่ไต่ถามสารทุกข์สุกดิบกันเท่านั้น เนื่องจากพวกเขาเชื่อว่าพูดจาเสียงดังถือเป็นมารยาทที่ควรกระทำ เพราะบ่งบอกถึงความมั่นใจไม่เหยาะแหยะนั่นเอง

7. หากต้องการความช่วยเหลือ ให้มองหาเด็กไฮสคูล

อย่างที่เกริ่นไว้ในข้างต้นว่านอกจากจีนกลางหรือแมนดารินอันเป็นภาษาราชการของจีนแล้ว ประเทศแห่งนี้ยังมีภาษาถิ่นอีกกว่าร้อยภาษา อันเนื่องมาจากความหลากหลายของชนชาติและผู้คนในจีนนั่นเอง ดังนั้นหากนักท่องเที่ยวต้องการขอความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นการสอบถามเส้นทาง หรือสอบถามในเรื่องอื่นๆ ก็ตาม หากเป็นคนที่ดูมีอายุสักหน่อย แม้คุณจะสื่อสารกับพวกเขาด้วยภาษาจีนกลาง ก็อาจไม่ได้รับคำตอบอย่างที่ต้องการก็ได้ แต่โชคดีที่หลักสูตรการเรียนการสอนของจีนในปัจจุบัน ได้เล็งถึงความสำคัญของภาษาจีนกลางและภาษาอังกฤษมากขึ้น จึงทำให้ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 25 หรือโดยเฉพาะเด็กนักเรียนไฮสคูลสามารถใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารได้ดี แม้จะไม่คล่องแคล่วเท่าเจ้าของภาษาตัวจริงก็ตาม

ประเทศจีนถือเป็นประเทศท่องเที่ยวอีกหนึ่งประเทศที่น่าสนใจไม่แพ้ชาติใดในโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความโดดเด่นทางด้านกายภาพของภูมิประเทศ อันเนื่องมาจากขนาดอันใหญ่โตของประเทศแห่งนี้ที่ครอบคลุมพื้นที่ที่แตกต่างกันไว้ในชาติเดียว อีกทั้งจีนยังมีประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่และยาวนานมาหลายยุคหลายสมัย ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่หลงใหลในเรื่องราวของอดีตเป็นอย่างมาก ซึ่งมัชรูมทราเวลอยากให้ท่านได้ลองไปสัมผัสและพบเห็นสิ่งต่างๆ เหล่านี้ด้วยสายตาตัวเองดูสักครั้ง 

วันศุกร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2557

เที่ยว 5 ชุมชนริมน้ำที่สวยที่สุดในประเทศจีน

ประเทศจีนในปัจจุบันถือเป็นประเทศที่มีการพัฒนาแบบก้าวกระโดดอย่างเห็นได้ชัด ด้วยเมกะโปรเจ็กต์สิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ยักษ์หลายโครงการที่ผุดขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับดอกเห็ด และนั่นก็ทำให้เสน่ห์ของความเป็นชนบทในหลายๆ พื้นที่ของประเทศจีนนั้นค่อยๆ เลือนหายไปพร้อมกับความเจริญทางวัตถุและรถไฟฟ้าความเร็วสูงซึ่งเข้ามาแทนที่ ดังนั้นวันนี้ “มัชรูมทราเวล” จึงจะพาท่านไปค้นหาความเงียบสงบและสวยงามที่ให้บรรยากาศและอารมณ์ในแบบของชนบทแท้ๆ กับ 5 ชุมชนริมน้ำที่สวยที่สุดของประเทศจีน ที่ตอนนี้กำลังได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่ใช่เพียงแค่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเท่านั้นที่ชื่นชอบโปรแกรมการทัวร์แบบนี้ เพราะแม้แต่หนุ่มสาวชาวจีนเองก็พากันหลีกหนีความวุ่นวายของสังคมเมือง แล้วหันมาสนใจการท่องเที่ยวในลักษณะนี้มากยิ่งขึ้น






หมู่บ้านมรดกโลกหงชุน มณฑลอันหุย

หงชุนเป็นหมู่บ้านโบราณที่สวยงาม ตั้งอยู่ในเขตมณฑลอันหุย ซึ่งที่นี่อาจจะเป็นหมู่บ้านเพียงหนึ่งเดียวในโลกที่สร้างขึ้นมาให้มีลักษณะคล้ายกับวัวยักษ์ทางภาคตะวันออกของจีน โดยมีภูเขาหวงซานเป็นส่วนหัว บ้านเรือนที่กระจายกันอยู่รวมทั้งทะเลสาบคือส่วนของร่างกาย สะพานโบราณนั้นเปรียบได้ดังขา ส่วนลำคลองสายต่างๆ ภายในหมู่บ้านก็รวมกันเป็นระบบไหลเวียนของเลือดนั่นเอง นอกจากนี้โครงสร้างที่สำคัญที่สุดภายในหมู่บ้านก็คือ สถาปัตยกรรมอาคารที่สวยงามและทรงคุณค่าจำนวน 140 หลัง ที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง โดยอาคารที่มีชื่อเสียงมากที่สุดก็คือคฤหาสน์ของพ่อค้าเกลือที่มีชื่อว่าหวางติงกุ้ยซึ่งสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1855  ซึ่งทุกวันนี้ยังได้รับการอนุรักษ์และทำนุบำรุงไว้อย่างดี รวมทั้งศาลบรรพชน และโรงเรียนประจำหมู่บ้านที่ยังเปิดสอนหนังสือเด็กๆ มาจนถึงปัจจุบัน
การเดินทาง: หมู่บ้านมรดกโลกหงชุนตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของภูเขาหวงซานประมาณ 70 กิโลเมตร ในเขตพื้นที่ของมณฑลอันหุย เมืองใหญ่ที่เชื่อมต่อกับสนามบินหวงซาน โดยที่สนามบินแห่งนี้ทุกวันจะมีเที่ยวบินที่ตรงมาจากปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ กวางโจว และซีอาน

ชุมชนไท่เอ้อจวง มณฑลซานตง



เมื่อปี ค.ศ. 2009 รัฐบาลท้องถิ่นของมณฑลซานตงได้ใช้เงินจำนวน 743.54 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อปรับปรุงชุมชนที่ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีนแห่งนี้ เพื่ออนุรักษ์ไว้ซึ่งสถาปัตยกรรมคลาสสิกในสมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิงอันมั่งคั่ง โดยในอดีตนั้นชุมชนริมน้ำไท่เอ้อจวงเคยเป็นศูนย์กลางทางการค้ามาก่อน อีกทั้งยังเคยเป็นฐานที่มั่นของจีนในการต่อสู้กับญี่ปุ่นในช่วงปี ค.ศ. 1938 อีกด้วย ซึ่งถึงแม้ว่าไท่เอ้อจวงจะเป็นเพียงชุมชนเล็กๆ แต่ก็เต็มไปด้วยสถานที่สำคัญๆ ที่หลงเหลือมาจากอดีตมากมาย ทั้งวัดเก่าแก่ และพิพิธภัณฑ์การแสดงหุ่นกระบอกแบบดั้งเดิมที่เปิดให้บุคคลทั่วไปสามารถเข้าชมได้ในวันศุกร์และวันเสาร์ เป็นต้น
การเดินทาง: ชุมชนไท่เอ้อจวงตั้งอยู่ในเขตเจ่าจาง มณฑลซานตง ซึ่งอยู่ห่างจากสนามบินซูโจวประมาณ 60 กิโลเมตร โดยที่สนามแห่งนี้จะรองรับเที่ยวบินเพื่อเชื่อมต่อไปยังเมืองสำคัญๆ ถึง 11 แห่ง ซึ่งรวมทั้งเมืองใหญ่อย่างปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และกวางโจวด้วย

หมู่บ้านโบราณโจวจวง มณฑลเจียงซู


หมู่บ้านโบราณโจวจวงเป็นหมู่บ้านริมน้ำที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศจีน โดยสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1086 หมู่บ้านแห่งนี้โดดเด่นด้วยโคมไฟสีแดงที่เรียงรายตลอดสองริมคลอง ซึ่งสร้างความโรแมนติกให้กับผู้ที่สัญจรไปมาได้เป็นอย่างดี ยิ่งไปกว่านั้นคือ แม้ว่าที่นี่จะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีประชากรเพียงแค่ 138,000 คน ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับมาตรฐานของหมู่บ้านอื่นๆ ที่ตั้งอยู่ในจีน แต่กลับมีอิทธิพลในธุรกิจการท่องเที่ยวที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง อันมีผลมาจากการมีทำเลที่ตั้งที่ดีเพราะอยู่ไม่ไกลจากเซี่ยงไฮ้และซูโจวมากนัก นั่นจึงทำให้การเดินทางมาที่นี่ค่อนข้างสะดวกและรวดเร็ว นอกจากนั้นชาวบ้านยังมีความชำนาญในด้านงานศิลปหัตถกรรมซึ่งช่วยส่งเสริมธุรกิจการท่องเที่ยวของที่นี่ให้ยิ่งแข็งแรงมากขึ้น โดยช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเยือนโจวจวงมากที่สุดก็คือช่วงเดือนมิถุนายนอันเป็นช่วงที่มีเทศกาลประจำปีอย่างเทศกาลเรือมังกรของชาวบ้านแห่งนี้ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี
การเดินทาง: นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมายังหมู่บ้านโบราณโจวจวงได้ด้วยรถบัสจากเซี่ยงไฮ้และซูโจว ในระยะทาง 60 และ 38 กิโลเมตร ตามลำดับ

เมืองโบราณเฟิ่งหวง มณฑลหูหนาน



เฟิ่งหวงเป็นคำภาษาจีนที่แปลได้อย่างตรงตัวคือนกฟีนิกซ์ ซึ่งเป็นชื่อที่สื่อให้เห็นถึงความงดงามของเมืองโบราณแห่งนี้ ซึ่งนอกจากความงามของสถาปัตยกรรมโครงสร้างอาคารต่างๆ บวกกับซากปรักหักพังของกำแพงและป้อมปราการที่มีการวางรากฐานมาตั้งแต่อดีตแล้ว ก็ยังรวมไปถึงภูเขาและแม่น้ำที่ล้อมรอบเมืองเอาไว้ จนได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ลึกลับแต่เรียบง่าย ที่นักท่องเที่ยวมากมายต่างต้องการมาค้นหาความผจญภัยในดินแดนแห่งนี้
การเดินทาง: เมืองโบราณเฟิ่งหวงตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกฉางชา เมืองเอกแห่งมณฑลหูหนานประมาณ 430 กิโลเมตร ดังนั้นหากนักท่องเที่ยวต้องการเดินทางมาที่นี่ จะต้องนั่งรถมาจากสถานีขนส่งฉางชาซึ่งมีทั้งหมด 4 เที่ยวต่อวัน โดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง

เมืองโบราณฮวงเหยา เขตปกครองตนเองกว่างซี



ชื่นชมกับฮวงจุ้ยธรรมชาติที่สวยงามของเมืองโบราณฮวงเหยาซึ่งตั้งอยู่ภายในเวิ้งน้ำทางภาคใต้ของจีน ซึ่งในอดีตนั้นที่นี่เคยเป็นอีกเมืองหนึ่งที่มีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก แต่ปัจจุบันกลายเป็นสถานที่อันเงียบสงบ โดยมีการบูรณะและพัฒนาให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเพื่อเป็นการอนุรักษ์ประวัติศาสตร์ของที่นี่ที่มีมากว่าพันปีเอาไว้ ซึ่งปัจจุบันเมืองโบราณฮวงเหยามีผู้อาศัยอยู่เพียง 600 ครอบครัวเท่านั้น บนเนื้อที่ 360,000 ตารางเมตร ที่ล้อมรอบไปด้วยภูเขาหินปูนสูงชันซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์ของถ้ำขนาดใหญ่ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปชมภายในได้ นอกจากนั้นก็ยังสามารถล่องแพไม้ไผ่เพื่อชมอ่างเก็บน้ำโจวได้ฟรีอีกด้วย
การเดินทาง: เมืองโบราณฮวงเหยาอยู่ห่างจากเมืองกุ้ยหลินประมาณ  118 กิโลเมตร ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาที่นี่ได้โดยรถบัสจากสถานีขนส่งกุ้ยหลินที่วิ่งวันละ 2 เที่ยว คือในช่วงเวลา 09.00 น. และ 13.00 น.

ทัวร์จีน

วันจันทร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2556

รู้ไว้ไม่เสียหลาย...หากได้ไปเยือนจีน


จากครั้งที่แล้ว “มัชรูมทราเวล” ได้นำเสนอ 8 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของจีนที่คุณไม่ควรพลาดไปแล้ว ซึ่งผู้ที่กำลังตัดสินใจหรือกำลังวางแผนที่จะไปหาประสบการณ์การท่องเที่ยวใหม่ๆ ในจีน ก็คงจะวางแผนการได้แล้วว่าคุณจะต้องไปที่ไหนบ้าง ครั้งนี้เราเลยมีคำแนะนำที่สำคัญบางอย่างเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในประเทศจีนมาฝาก เนื่องจากจีนเป็นหนึ่งในประเทศที่มีภาษาที่ยากที่สุดในการสื่อสารและเรียนรู้ อีกทั้งยังมีความแตกต่างกันในแต่ละท้องถิ่น อย่างเช่น จีนกลาง จีนกวางตุ้ง เป็นต้น ดังนั้นบทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับนิสัยบางอย่างของคนจีน รวมทั้งสิ่งที่ควรทำและสิ่งที่คุณไม่ควรทำในประเทศแห่งนี้ เพื่อที่ว่าคุณจะได้ท่องเที่ยวอย่างมีความสุข และผูกมิตรกับคนท้องถิ่นได้อย่างง่ายดาย รวมทั้งสามารถหลีกเลี่ยงกับบางสิ่งที่อาจจะทำให้คุณรู้สึกอึดอัด หงุดหงิดหรือไม่สบายใจที่จะทำให้ทริปการท่องเที่ยวของคุณกร่อยได้




1. เช็คแฮนด์ด้วยสองมือ
เราคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า การทักทายด้วยการจับมือนั้นถือเป็นธรรมเนียมสากลที่มีการปฏิบัติกันทั่วโลก แต่หากคุณต้องเดินทางไปประเทศจีน ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางเพื่อธุรกิจหรือการท่องเที่ยวก็ตาม หากมีโอกาสได้ทำความรู้จักกับใครสักคน การทักทายที่เรียกว่าการเชคแฮนด์อย่างที่เคยชินอาจไม่เพียงพอสำหรับที่นี่ เพราะวิธีทักทายที่ถูกต้องสำหรับธรรมเนียมจีนก็คือ คุณต้องใช้มือทั้งสองข้างกุมไปที่มือของอีกฝ่ายพร้อมกับเขย่าไปด้วยในขณะที่คุณแนะนำตัวเองให้อีกฝ่ายรู้จัก เพียงแค่นี้ก็สามารถสร้างความประทับใจเมื่อแรกพบได้แล้ว


2. ไม่เรียกชื่อต้นหากเพิ่งรู้จัก
แน่นอนว่าคนจีนนั้นมีชื่อและนามสกุลเหมือนกับคนในประเทศอื่นๆ แต่ในประเทศจีนการใช้ชื่อและนามสกุลจะแตกต่างตรงที่พวกเขาจะใช้นามสกุลน้ำหน้าชื่อก่อนเสมอ อย่างเช่นหากมีใครแนะนำให้คุณรู้จักกับหลิวเต๋อหัว นั่นแสดงว่าเขามีชื่อว่าเต๋อหัว และนามสกุลหลิว แต่คุณต้องทักทายเขาในนามของมิสเตอร์หลิวเท่านั้น เพราะการเรียกชื่อต้นสำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยในประเทศจีนนั้นถือว่าเสียมารยาทเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากคนจีนจะเรียกชื่อแรกกันเฉพาะภายในสมาชิกของครอบครัว รวมทั้งเพื่อนสนิทเพียงไม่กี่คนเท่านั้น


3. ห้ามดื่มก่อนเจ้าภาพ
สำหรับวัฒนธรรมการกิน ของจีนนั้น แน่นอนว่าสิ่งที่จะขาดไม่ได้ภายในโต๊ะอาหารมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็คือสุรา ซึ่งถ้าหากเป็นปัจจุบันก็คงเหมารวมเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ทุกชนิด ซึ่งหากคุณมีโอกาสได้เข้าร่วมงานเลี้ยงในประเทศจีน ไม่ว่าจะเป็นงานเล็กหรืองานใหญ่ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ควบคู่ไปกับมื้ออาหารคงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก แต่กระนั้นคุณต้องจำไว้เสมอว่า จะต้องดื่มก็ต่อเมื่อเจ้าภาพหรือผู้ใหญ่เชื้อเชิญเท่านั้น ห้ามยกแก้วหรือจอกขึ้นดื่มเองโดยลำพังเป็นอันขาด รวมทั้งต้องไม่ดื่มครั้งเดียวหมดแก้ว แต่ให้ค่อยๆ จิบแทน ซึ่งเหตุผลจริงๆ ของธรรมเนียมนี้ก็เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เราดื่มมากเกินไปจนเมานั่นเอง


4. แย่งจ่ายหลังกินเสร็จ
คุณอาจรู้สึกตกใจหากเจอเหตุการณ์ความวุ่นวายเสียงดังจากโต๊ะหนึ่งโต๊ะใดภายในร้านอาหารหรือห้องอาหาร ขณะที่คุณอยู่ในประเทศจีน ซึ่งนั่นไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาทะเลาะหรือมีเรื่องชกต่อยกันแต่อย่างใด แต่วัฒนธรรมจีนนั้น เมื่อมีการเลี้ยงสรรสรรค์ภายนอกบ้าน หากมีใครเสนอตัวที่จะเป็นเจ้าภาพเลี้ยง คนที่เหลือบนโต๊ะจะไม่เพียงนั่งอยู่เฉยๆ หรือกล่าวคำว่าขอบคุณ แต่พวกเขาจะเข้าแย่งชิงการจ่ายค่าอาหารมื้อนั้น ซึ่งอาจจะถึงขั้นต่อสู้กัน โดยปราศจากอาวุธและความรุนแรง รวมถึงพยายามปัดเงินของคนที่ยื่นให้พนักงานออกไปเพื่อที่จะแย่งจ่ายเอง โดยการต่อสู้นี้เองที่ชาวจีนถือว่าเป็นมารยาทที่ดี มากกว่าการนั่งเป็นหัวหลักหัวตอในโต๊ะอาหาร ซึ่งผู้ที่สามารถเอาชนะ และ “จ่าย” ค่าอาหารมื้อนั้นก็จะได้รับความชื่นชมเป็นพิเศษ


5. ฝึกการใช้ตะเกียบให้ถูกต้อง
หากคุณมีโอกาสถูกรับเชิญไปร่วมรับประทานอาหารกับครอบครัวคนจีน แน่นอนว่าการใช้ตะเกียบคือสิ่งที่คุณจำเป็นต้องเรียนรู้ให้ถูกต้อง ซึ่งนอกเหนือไปจากการใช้ตะเกียบคีบเส้นก๋วยเตี๋ยว ถั่วงอก ลูกชิ้น อย่างที่เราเคยกระทำเป็นประจำ เนื่องจากตะเกียบนั้นถือว่ามีความสำคัญต่อชาวจีนมากกว่าการเป็นแค่อุปกรณ์หยิบจับอาหาร แต่ตะเกียบยังมีความสำคัญต่อขนบธรรมเนียมประเพณีอันเป็นรากฐานทางวัฒนธรรมของจีนมาตั้งแต่อดีตนับพันๆ ปี ดังนั้นพวกเขาจึงให้ความสำคัญต่อการใช้ตะเกียบเป็นอย่างมาก เช่น ห้ามวางตะเกียบสะเปะสะปะไม่เป็นระเบียบ ห้ามใช้ตะเกียบชี้หน้าผู้อื่น ห้ามอม ดูด หรือเลียตะเกียบ ห้ามใช้ตะเกียบเคาะถ้วยชาม ห้ามใช้ตะเกียบวนไปมาบนโต๊ะโดยไม่รู้ว่าจะคีบอะไรดี ห้ามใช้ตะเกียบคุ้ยอาหารในจาน ห้ามถือตะเกียบกลับข้าง ห้ามใช้ตะเกียบข้างเดียวเสียบลงบนอาหารหรือชามข้าว และห้ามทำตะเกียบตกพื้น เป็นต้น


6. ไม่ทำให้คนอื่นขายหน้าในที่สาธารณะ
สิ่งที่แย่ที่สุดที่คุณอาจทำให้คนจีนรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งก็คือ การพูดหรือแสดงอาการดูหมิ่นพวกเขาในที่สาธารณะ หรือแสดงอาการโกรธเกรี้ยวด้วยการตะคอกหรือตะโกนใส่หน้า แม้ว่าสาเหตุจะมาจากความผิดพลาดของอีกฝ่ายก็ตาม เพราะนั่นจะทำให้พวกเขารู้สึกเสียหน้า ซึ่งคนจีนจะรับไม่ได้และคิดว่าคุณกำลังเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติด้วยแล้ว อย่างไรก็ตาม สถานการณ์จะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที หากเปลี่ยนจากเหตุการณ์ความไม่พอใจเป็นการแสดงความขอบคุณ หรือการแสดงความชื่นชมพวกเขาต่อหน้าสาธารณชน เพราะสิ่งที่คุณจะได้รับกลับมา นั่นก็คือความเป็นมิตรและการต้อนรับที่อบอุ่นนั่นเอง


7. มอบของขวัญให้กันเสมอ
การมอบของขวัญให้แก่กันสำหรับวัฒนธรรมจีนนั้นไม่เพียงแค่เฉพาะในโอกาสพิเศษเท่านั้น แต่ทุกครั้งหากต้องไปเยี่ยมเยือน หรือมีการนัดหมายเพื่อพบเจอระหว่างเพื่อน ครอบครัว ผู้ร่วมธุรกิจ ฯลฯ การเตรียมของขวัญมามอบให้แก่กันโดยที่ไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าถือเป็นมารยาทที่ดี ทั้งยังเป็นการแสดงถึงมิตรภาพและความปรารถนาดีที่ต่างฝ่ายต่างมอบให้แก่กัน แม้ว่าของชิ้นนั้นจะเป็นเพียงของเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม และที่สำคัญคือ ผู้ที่ให้จะต้องไม่คุยโวถึงที่มาหรือราคาของของขวัญอย่างเด็ดขาด


และทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงบางส่วนของวัฒนธรรมจีนที่ “มัชรูมทราเวล” นำมาฝากกัน ซึ่งจีนยังมีข้อห้าม หรือประเพณีปฏิบัติอีกมากมายหลายอย่าง ซึ่งหากเราได้เรียนรู้ก็จะเป็นประโยชน์ต่อไปในอนาคต อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่าด้วยเสน่ห์ของรอยยิ้ม บวกกับความมีน้ำใจ และนิสัยอันอ่อนน้อมถ่อมตนของคนไทย คงเอาชนะใจใครๆ ได้ไม่ยาก

ทัวร์จีน

วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

8 Undiscovered Destinations in China!


ประเทศจีนเป็นประเทศที่กว้างใหญ่ไพศาล และมีความพิเศษคือมีภูมิประเทศที่ทอดยาวไปหลายพันไมล์ ตั้งแต่ทะเลทรายทางทิศตะวันตกไปจรดมหาสมุทรทางทิศตะวันออก ดังนั้นวัฒนธรรมจีนจึงเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ของโลกที่สำคัญไม่แพ้วัฒนธรรมของกรีก โรมัน อียิปต์ ฯลฯ อันรุ่งเรืองในอดีต รวมทั้งวัฒนธรรมจีนยังร่ำรวยด้วยอารยะธรรมที่หลากหลายผ่านวันเวลาที่ยาวนานมากว่า 5,000 ปี ซึ่งนี่ก็คืออีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญซึ่งทำให้ประเทศจีนสามารถดึงดูดนักเดินทางและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้หลั่งไหลสู่ประเทศจีนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันปีละหลายร้อยล้านคน

ดังนั้นมัชรูมทราเวลจึงอยากแนะนำ 8 สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังที่คุณไม่ควรพลาด หากมีโอกาสได้เดินทางสู่เส้นทางสายไหมที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมและอารยะธรรมที่ยิ่งใหญ่สายนี้สักครั้งในชีวิต แล้วคุณจะรู้ว่า ประเทศจีน... ครั้งเดียวคงไม่พอ

1. กำแพงเมืองจีน



กำแพงเมืองจีนเป็นกำแพงที่มีความยาวคดเคี้ยวข้ามประเทศจีนกว่า 6,700 กิโลเมตร โดยการก่อสร้างกำแพงแห่งนี้ได้เริ่มต้นในช่วง 2,000 ปีที่ผ่านมา และสิ้นสุดลงในช่วงปี ค.ศ. 1368 ซึ่งเป็นช่วงที่จีนอยู่ใต้การปกครองของราชวงศ์หมิง ส่งผลให้กำแพงเมืองจีนกลายเป็นโครงสร้างทางทหารที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งในความเป็นจริงกำแพงที่เชื่อมต่อเมืองจีนในบางช่วงบางตอนนั้นค่อนข้างมีความแตกต่างกัน เนื่องจากสร้างขึ้นในช่วงของการปกครองในแต่ละราชวงศ์ที่แตกต่างกัน รวมถึงขุนศึกที่ควบคุมการก่อสร้างในระยะหลายๆ ปีนั้นก็ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปตามระยะเวลา ทั้งนี้จุดประสงค์ในการก่อสร้างกำแพงเมืองจีนก็เพื่อใช้ป้องกันข้าศึกจากทางเหนือที่เข้ามารุกรานนั่นเอง

สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการชื่นชมความมหัศจรรย์ของกำแพงเมืองจีน ที่ที่เหมาะที่สุดคงหนีไม่พ้นปักกิ่ง เพราะสะดวกในการเดินทางมากที่สุด อย่างไรก็ตาม กำแพงเมืองจีนในแต่ละเมือง แต่ละมณฑลนั้นมีความสวยงามแตกต่างกัน ซึ่งไม่เพียงแต่ลักษณะของกำแพงเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงความงามของวิวทิวทัศน์รอบๆ บริเวณด้วย โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่นี่จะสวยงามและโรแมนติกเป็นพิเศษ เนื่องจากต้นไม้ใบหญ้าทั่วทั้งภูเขาลูกใหญ่อันเป็นฉากหลังของกำแพงเมืองจีนนั้นจะผลัดเปลี่ยนสีสัน จึงทำให้มีเสน่ห์แปลกตากว่าช่วงฤดูไหนๆ

2. พิพิธภัณฑ์สุสานทหารดินเผา จิ๋นซีฮ่องเต้


พิพิธภัณฑ์สุสานกองทัพดินเผาแห่งนี้ตั้งอยู่ในเมืองซีอาน ภายในมณฑลฉานซี ถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1974 โดยชาวนาในหมู่บ้านซีหยางที่ต้องการขุดดินเพื่อทำบ่อน้ำในบริเวณเชิงเขาหลีซางซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองซีอานไปทางทิศตะวันออกประมาณ 35 กิโลเมตร และบังเอิญพบกับซากของทหารดินเผาที่ทราบในภายหลังว่ามีอายุมากกว่า 2,000 ปี ต่อมารัฐบาลจีนจึงได้มีการสั่งขุดเพิ่มเติมและค้นพบวัตถุโบราณอันเป็นกองทัพทหารดินเผา พร้อมสรรพาวุธ รวมถึงรถม้าและม้าศึกเป็นจำนวนทั้งสิ้นกว่า 7,400 ชิ้น ภายในบริเวณพื้นที่กว่า 25,000 ตารางเมตร 

สำหรับกองทัพดินทหารดินเผาที่ถูกค้นพบ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นเพื่อเป็นการปกป้องสุสานของจักรพรรดิฉินซือหวง หรือที่คนไทยรู้จักกันดีในนาม “จิ๋นซีฮ่องเต้” จักรพรรดิผู้ก่อตั้งราชวงศ์ฉินนั่นเอง ซึ่งคาดว่าน่าจะเริ่มก่อสร้างในช่วงปี 246 ก่อนคริสตกาล และใช้เวลาการก่อสร้างยาวนานถึง 38 ปี จนกลายมาเป็นสุสานขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่รวมทั้งสิ้น 2,180 ตารางกิโลเมตร โดยแบ่งออกเป็นเขตพระราชฐานชั้นในและชั้นนอก ซึ่งภายในสุสานนอกจากจะบรรจุพระบรมศพของจักรพรรดิแล้ว ยังมีทรัพย์สมบัติต่างๆ ตลอดจนถึงกองกำลังทหาร นางสนม นางกำนัล รถม้า ขุนศึก และหมู่ทหารอีกจำนวนมาก โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้เป็นตัวแทนของข้าราชบริพาร ในการร่วมเดินทางไปยังปรโลกพร้อมกับพระจักรพรรดินั่นเอง ปัจจุบันพื้นที่ภายในบางส่วนที่ก่อสร้างจากหินนั้นยังคงได้รับการปิดผนึกไว้เป็นอย่างดี และยังคงสภาพเดิมเอาไว้ ทั้งนี้โครงสร้างของสุสานค่อนข้างมีความสลับซับซ้อน รวมถึงขนาดของสุสานก็ยังมีขนาดยิ่งใหญ่มโหฬารสมกับพระเกียรติของจักรพรรดิจีนผู้รวบรวมประเทศจีนให้เป็นปึกแผ่นผู้นี้
3. ทิวเขาเมืองหยางซั่ว


ทิวเขาเมืองหยางซั่วตั้งอยู่ทางภาคใต้ของประเทศจีนในมณฑลกวางสี อันเป็นทิวเขาที่สะท้อนให้เห็นถึงความมหัศจรรย์ของทัศนียภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจของภูเขาได้ดีที่สุด ซึ่งหากนักท่องเที่ยวท่านใดสนใจ สามารถเดินทางไปชมความงามนี้ได้ที่เมืองหยางซั่ว เมืองเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองกุ้ยหลินมากนัก ซึ่งการท่องเที่ยวโดยการล่องแพไม้ไผ่ในแม่น้ำหลีเจียงคือกิจกรรมที่ได้รับความนิยมมากที่สุด สำหรับผู้ที่ต้องการชื่นชมความงดงามของแนวทิวเขาเหล่านี้ โดยนอกจากจะได้เห็นความงามของแม่น้ำหลีเจียงที่เหมือนกับภาพวาดหมึกจีนอันคลาสสิกด้วยภาพของเนินเขาสีเขียวขจี และภาพของยอดไม้ไผ่ที่สะท้อนผ่านแม่น้ำใสแจ๋วดุจดังกระจกในระยะทาง 83 กิโลเมตรแล้ว ยังจะได้ชมความสวยงามอลังการของทัศนียภาพริมสองฟากฝั่งแม่น้ำแห่งนี้อีกด้วย

4. แม่น้ำแยงซี ช่องแคบชูถึงเสีย ช่องแคบอูเสีย และช่องแคบซีหลิงเสีย


แม่น้ำแยงซีหรือที่คนไทยคุ้นเคยกันในชื่อแม่น้ำแยงซีเกียง คือแม่น้ำที่ยาวที่สุดในทวีปเอเชีย รวมทั้งยังครองตำแหน่งอันดับ 3 ของโลก ด้วยความยาวถึง 6,300 กิโลเมตร โดยต้นน้ำนั้นอยู่ที่เทือกเขาแทงกูล่าในมณฑลชิงไห่และทิเบตทางภาคตะวันตกตอนกลางของจีน ก่อนจะไหลไปทางภาคตะวันออกเฉียงใต้และหันเหทิศทางไปที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก ภาคใต้ ภาคกลาง และภาคตะวันออกกลาง และสุดท้ายจึงไหลออกสู่ทะเลทางภาคตะวันออกของจีนซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับเซี่ยงไฮ้ 

นอกจากนั้นแม่น้ำแยงซีและช่องแคบทั้งสาม ซึ่งได้แก่ ช่องแคบชูถึงเสีย ช่องแคบอูเสีย และช่องแคบซีหลิงเสียนั้นได้รับการยกย่องว่าเป็นจุดชมวิวที่งดงาม ทั้งยังมีความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติจนยากจะหาใครเทียบ ไม่เพียงเท่านั้น ความน่าสนใจของแม่น้ำสายนี้ยังรวมไปถึงประเพณีพื้นบ้านที่น่าตื่นตาตื่นใจและคงความเก่าแก่มาแต่โบราณของหมู่บ้านต่างๆ ตลอดความยาวของสองฟากฝั่งแม่น้ำแยงซี ก็เป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ที่ทำให้การล่องเรือสำราญบนแม่น้ำสายนี้เป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะนอกจากนักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับความอัศจรรย์ของช่องแคบทั้งสาม รวมถึงวิถีชีวิตของชนพื้นเมืองดังที่ได้กล่าวไว้ในข้างต้นแล้ว ก็ยังจะได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของเขื่อนสามผาที่ได้ชื่อว่าเป็นเขื่อนที่ใหญ่ที่สุดในโลกในระยะใกล้อีกด้วย

5. หุบเขาจิ่วไจ้โกว 


หุบเขาจิ่วไจ้โกวเป็นหุบเขาที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ในบริเวณทางเหนือของมณฑลเสฉวนอันเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาหมิงซานตอนใต้ ซึ่งอยู่ในเขตการปกครองตนเองของชนเผ่าเชียงหรือชนชาติทิเบต โดยมีพื้นที่ครอบคลุมกว่า 720 ตารางกิโลเมตรท่ามกลางหุบเขาที่ทอดตัวคดเคี้ยวไปมาผ่านหน้าผาสูงชัน ทะเลสาบสีสันสดใส และน้ำตกขนาดใหญ่ที่มีหลายระดับ จนก่อเกิดเป็นทิวทัศน์ที่งดงามตระการตา นอกจากนั้นในบริเวณรอบๆ ยังเต็มไปด้วยผืนป่าทึบที่จะเปลี่ยนสีสันไปตามแต่ละฤดูกาลตลอดทั้งปี รวมถึงเทือกเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลนในช่วงฤดูหนาวอันยาวนาน จนทำให้หุบเขาจิ่วไจ้โกวถูกประกาศให้เป็นอีกหนึ่งมรดกโลกที่สำคัญของจีนในปี ค.ศ. 1992 เป็นต้นมา

6. พระราชวังโปตาลา 


พระราชวังโปตาลาตั้งอยู่บนเนินเขาใจกลางเมืองลาซา เมืองหลวงของเขตปกครองตนเองทิเบต ถูกสร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 7 ในสมัยของกษัตริย์ซรอนซันกัมโป กษัตริย์องค์ที่ 32 แห่งราชวงศ์ถู่ฟาน และท่านยังเป็นปฐมกษัตริย์แห่งจักรวรรดิทิเบตอีกด้วย ซึ่งโครงสร้างของวังแห่งนี้ส่วนใหญ่ใช้หินและไม้เป็นหลัก ส่วนตัวกำแพงนั้นก่อด้วยหินแกรนิตเพื่อเพิ่มความคงทนแข็งแรงให้กับตัวอาคาร ต่อมาเมื่อราชวงศ์ถู่ฟานล่มสลาย พระราชวังจึงถูกทิ้งร้าง กระทั่งองค์ดาไลลามะที่ 5 ทรงมีดำริให้บูรณะขึ้นใหม่เพื่อใช้เป็นสถานที่ว่าราชการ และใช้เป็นที่ประทับ จากนั้นได้เปลี่ยนชื่อของพระราชวังเป็น “พระราชวังโปตาลา” และนับแต่นั้นเป็นต้นมา พระราชวังแห่งนี้ก็ได้กลายเป็นศูนย์รวมอำนาจทางการเมืองและศาสนาของทิเบตกระทั่งปัจจุบัน


ทั้งนี้องค์ดาไลลามะยังมีพระบัญชาให้ต่อเติมวังขึ้นในลักษณะเป็นวังซ้อนวัง โดยพระราชวังภายนอกเป็นอาคารสูง 7 ชั้น หันหน้าไปทางทิศใต้ มีชื่อเรียกว่าวังขาวเนื่องจากทาสีขาวเอาไว้ สร้างเสร็จเมื่อปี ค.ศ. 1648 โดยองค์ดาไลลามะใช้เป็นที่ทรงงานและดูแลบริหารบ้านเมืองรวมถึงพระศาสนา ส่วนพระราชวังชั้นในนั้นมีชื่อว่าวังแดง เนื่องจากทาผนังด้วยสีแดง สร้างภายหลังวังขาวประมาณ 50 ปี แบ่งออกเป็นทั้งหมด 6 ชั้น ซึ่งที่นี่ถูกใช้เป็นที่ประดิษฐานองค์สถูปขององค์ดาไลลามะ รวมถึงใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาด้วย และเพราะสาเหตุที่พระราชวังโปตาลานั้นถือได้ว่าเป็นสถาปัตยกรรมที่มีความสวยงามและล้ำค่า จึงทำให้ที่นี่ถูกรับรองให้เป็นมรดกของโลกอีกหนึ่งแห่งในปี 1994

7. เดอะบันด์ เซี่ยงไฮ้

เดอะบันด์ตั้งอยู่ในบริเวณปลายถนนหนานจิง ใจกลางเมืองเซี่ยงไฮ้ ซึ่งที่นี่ถือว่าเป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่หลงใหลในงานศิลปะและสถาปัตยกรรมแบบยุคเก่า เนื่องจากเดอะบันด์เป็นย่านที่เต็มไปด้วยอาคารเก่าแก่มากมาย อันเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงประวัติศาสตร์และความเจริญของแผ่นดินแห่งนี้ที่มีมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นอาคาร SBC ที่สร้างมาตั้งแต่ปี 1923 โดยในช่วงเวลานั้นอาคารแห่งนี้ถือได้ว่าเป็นอาคารที่หรูหราที่สุดที่ตั้งอยู่ระหว่างคลองสุเอซและช่องแคบแบริ่ง นอกจากนั้นอาคารต่างๆ ที่ตั้งอยู่โดยรอบก็มีทั้งงานสถาปัตยกรรมแบบโกธิค โรมัน บาโร้ก ฯลฯ ปัจจุบันเดอะบันด์คือสัญลักษณ์ของนครเซี่ยงไฮ้ที่ได้รับการขนานนามจากทั่วโลกว่าเป็นนิทรรศกาลสถาปัตยกรรมนานาชาติ ฉะนั้นเราจึงไม่อยากให้คุณพลาดสถานที่แห่งนี้ หากคุณได้มีโอกาสไปเยือนนครเซี่ยงไฮ้

8. พระราชวังต้องห้าม 


พระราชวังต้องห้ามหรือพิพิธภัณฑ์พระราชวัง ตั้งอยู่บริเวณใจกลางกรุงปักกิ่ง เหนือจัตุรัสเทียนอันเหมิน ซึ่งสถานที่นี้แต่เดิมเป็นที่ตั้งของพระราชวังหลวงของราชวงศ์หยวนแห่งมองโกล ต่อมาเมื่อราชวงศ์หยวนล่มสลาย ก็เปลี่ยนเป็นราชวงศ์หมิงที่ครองแผ่นดินจีน จักรพรรดิพระองค์แรกของราชวงศ์หมิงจึงมีดำริให้ย้ายเมืองหลวงจากปักกิ่งไปนานกิงและรับสั่งให้รื้อถอนพระราชวังเดิมออก จนกระทั่งเมื่อพระราชโอรสของพระองค์ได้ขึ้นครองราชย์ จึงได้ย้ายเมืองหลวงกลับมาที่ปักกิ่งอีกครั้ง และรับสั่งให้ก่อสร้างพระราชวังขึ้นมาใหม่ในปี พ.ศ. 1949 โดยมีพื้นที่ทั้งหมด 720,000 ตารางเมตร 

หลังจากที่พระราชวังต้องห้ามเสร็จสมบูรณ์ในช่วง 500 กว่าปีการครองราชย์ของราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง ที่นี่เคยเป็นที่ประทับขององค์จักรพรรดิจีนมากถึง 24 พระองค์ ทั้งยังเป็นศูนย์กลางของอำนาจสูงสุดและการว่าราชการในทั้งสองราชวงศ์อีกด้วย จึงทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่ที่รวมเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของราชสำนักของราชวงศ์ทั้งสอง และยังรวมไปถึงการเคลื่อนไหวของจักรพรรดิและพระมเหสี ระบอบชนชั้น การต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจ และการเซ่นไหว้บูชาทางศาสนา โดยทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นภายในสถานที่แห่งนี้ทั้งสิ้น ดังนั้นพระราชวังต้องห้ามที่เราเห็นในปัจจุบันนี้จึงมีความสำคัญมากกว่าการเป็นเพียงสถานที่ที่องค์จักรพรรดิของจีนใช้เป็นที่ประทับในอดีตเท่านั้น