แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ท่องเที่ยวกัมพูชา แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ท่องเที่ยวกัมพูชา แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

3 แหล่งประวัติศาสตร์น่าอัศจรรย์แห่งกัมพูชา... ที่ขอท้าให้คุณไปเยือน

ในช่วงที่โลกกำลังเปลี่ยนผ่านสู่สหัสวรรษใหม่ หลายประเทศทั่วโลกต่างให้ความสนใจและลุ้นระทึกกับปัญหา Y2K ว่าจะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของพวกเขาอย่างไรบ้าง แต่อีกมุมหนึ่งของโลกบนพื้นที่ที่เรียกว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น กลับมีประเทศหนึ่งที่ยังคงโซซัดโซเซจากปัญหาสงครามกลางเมืองที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

แต่หลังจากสิบกว่าปีผ่านไป เมื่อเราหันกลับไปมองกัมพูชาในวันนี้ สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนก็คือความเปลี่ยนแปลงที่ต่างไปจากเดิมราวกับที่นี่ไม่เคยเกิดเหตุใดๆ มาก่อน ภายในกรุงพนมเปญเมืองหลวงของกัมพูชา วัดวาน้อยใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 เรียงสลับซับซ้อนในบริเวณใจกลางแหล่งประวัติศาสตร์ เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มีจำนวนมากกว่า 640,000 คน ในเวลาเพียงสามเดือนแรกของปีเท่านั้น ทั้งนี้กัมพูชายังถือเป็นอีกหนึ่งแหล่งประวัติศาสตร์สำคัญของโลก เพราะนอกจากจะเป็นที่ตั้งของนครวัดอันยิ่งใหญ่แล้ว สถานที่อื่นๆ ของกัมพูชาก็สวยงามและทรงคุณค่าไม่แตกต่างกัน ดังเช่นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งประวัติศาสตร์ชาติกัมพูชาทั้ง 3 แห่งนี้ที่มัชรูมทราเวลขอท้าให้คุณไปเยือน เพื่อสัมผัสความงามด้วยสายตาของคุณเองสักครั้ง


ปราสาทพนมจิสอร์



ปราสาทจิสอร์ตั้งอยู่บนเนินเขาที่อยู่ไม่ไกลจากกรุงพนมเปญมากนัก ที่มีมีจุดเด่นที่น่าพิศวงของสันดอนซึ่งอุดมสมบูรณ์ไปด้วยนาข้าวสีเขียวสดและบึงน้ำขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบวัดฮินดูขนาดเล็ก ซึ่งภายในคือหมู่อาคารสีน้ำตาลที่ทอดตัวลดหลั่นลงไปตามหน้าผาสูงชันอย่างน่าทึ่ง และถึงแม้ว่าวัดแห่งนี้จะดูคล้ายกับวัดที่รกร้างว่างเปล่า แต่กลับมีพระภิกษุจำวัดอยู่ และคอยทำหน้าที่เป็นไกด์นำนักท่องเที่ยวเดินไปตามขั้นบันไดโบราณที่ทอดยาวจำนวน 180 ขั้น และบันไดเวียนอีก 408 ขั้น เพื่อชมซากปรักหักพังของวัดที่สร้างจากหินทรายแห่งนี้อยู่เป็นประจำ


Getting there: สำหรับการเดินทางที่สะดวกที่สุดนั้น นักท่องเที่ยวสามารถว่าจ้างรถแท็กซี่เพื่อเดินทางไปยังสถานที่แห่งนี้ได้ในราคาประมาณ 640 บาท ส่วนค่าเข้าชมปราสาทจิสอร์นั้นอยู่ที่ประมาณ 60-70 บาทต่อคน

สมโบไพรกุก หรือป่าปราสาทแห่งกัมปงธม



สมโบไพรกุกหรือป่าปราสาทแห่งกัมปงธมเป็นที่ตั้งของอาณาจักรเจนละในสมัยพระเจ้าอิศานวรมันที่ 1 ในช่วงปี ค.ศ. 616-635  อันเป็นยุครุ่งเรืองของอาณาจักรแห่งนี้ เพราะสามารถรวบรวมเอาอาณาจักรฟูนันเข้ามารวมกันได้อย่างเป็นปึกแผ่น โดยตั้งอยู่ห่างจากเมืองเสียมเรียบไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเขตจังหวัดกัมปงธมประมาณ 120 กิโลเมตร ซึ่งสมโบไพรกุกนั้นมีลักษณะเป็นป่าโปร่งอันเต็มไปด้วยปราสาทขนาดเล็กที่ถูกสร้างกระจายอยู่ทั่วบริเวณ ทั้งนี้ปราสาททั้งหมดถูกสร้างขึ้นด้วยอิฐและหินทราย มีลวดลายการแกะสลักเป็นรูปคนและบริวารที่มีลักษณะคล้ายคลึงชาวอินเดียนและชาวกรีก


Getting there: จากกัมปงธมซึ่งเป็นเมืองที่อยู่กึ่งกลางระหว่างกรุงพนมเปญและจังหวัดเสียมเรียบ นักท่องเที่ยวสามารถเรียกรถแท็กซี่หรือมอเตอร์ไซค์รับจ้างจากตลาดกลางไปส่งที่สมโบไพรกุกได้ โดยใช้เวลาในการเดินทางไปทางทิศเหนือของกัมปงธมประมาณ 30 กิโลเมตร ในราคาประมาณ  160-320 บาทต่อคน

เกาะแกร์



เกาะแกร์ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 10  และมีสถานะเป็นอดีตนครหลวงที่มีอายุสั้นๆ แค่เพียง 20 ปีเท่านั้น โดยอีกนัยหนึ่งที่นี่ถูกเรียกว่าอาณาจักรนอกคอก สันนิษฐานว่าอาจเป็นเพราะอาณาจักรแห่งนี้เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ปฏิวัติยึดอำนาจในอดีตนั่นเอง ซึ่งเริ่มขึ้นในสมัยพระยโศวรมันที่ 1 ที่ได้ขยายอาณาจักรและสถาปนาเมืองหลวงขึ้นใหม่ในนามอาณาจักรยโศธรปุระที่พนมบาเค็งในปี ค.ศ. 898 และกลายเป็นเมืองที่รุ่งเรืองต่อมาจนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 921 เมื่อพระชัยวรมันที่ 4 ซึ่งมีฐานะอาเขยได้สะสมไพร่พลและอำนาจและสถาปนาตนขึ้นเป็นกษัตริย์แทน ก่อนจะสถาปนาอาณาจักรขึ้นใหม่แล้วปล่อยเกาะแกร์ให้รกร้างว่างเปล่ากลางป่าใหญ่ กระทั่งปัจจุบันเกาะแกร์ได้ถูกปลุกให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ และกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันแปลกใหม่และท้าทายให้ไปค้นหา บนพื้นที่จังหวัดเขาพระวิหาร ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองเสียมเรียบไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 80 กิโลเมตร


Getting there: เส้นทางสู่เกาะแกร์นั้นค่อนข้างลำบาก แต่นักท่องเที่ยวก็สามารถใช้บริการรถแท็กซี่จากเมืองเสียมเรียบไปยังเกาะแกร์ได้เลย โดยค่าบริการนั้นอยู่ที่ 1,600 -  3,200 บาท ทั้งนี้ราคาค่าโดยสารนี้จะขึ้นอยู่กับสภาพรถที่ให้บริการด้วย โดยหากเป็นรถใหม่สภาพดี มีเครื่องปรับอากาศก็จะมีราคาสูงกว่าปกติ 

วันอังคารที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2557

จากทุ่งสังหารแห่งระบอบเขมรแดง สู่แหล่งท่องเที่ยวในความทรงจำสีเทา

“ชัยชนะบนซากศพ” ประโยคนี้ดูจะไม่เกินจริงเมื่อกล่าวถึงสถานที่แห่งหนึ่ง อันเป็นต้นกำเนิดของเรื่องจริงยิ่งกว่านิยายที่แทบไม่น่าเชื่อเลยว่ามันจะเคยเกิดขึ้นจริงๆ ในศตวรรษที่ 20 ในยุคที่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกใฝ่หาสันติภาพ และปลดแอกตัวเองออกจากภาวะสงครามเย็น เพื่อเดินหน้าเข้าสู่ยุคดิจิตอล หลังจากการล่มสลายของพรรคนาซีเมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 และที่สำคัญไปกว่านั้น สถานที่อันโหดร้ายนี้กลับอยู่ใกล้แค่ปลายจมูกของเรานี่เอง

วันนี้ “มัชรูมทราเวล” จะพาทุกท่านย้อนอดีตสู่ความทรงจำสีเทา กับสถานที่ท่องเที่ยวที่ย้ำเตือนถึงความโหดร้ายของระบอบเขมรแดงและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ประชาชนชาวกัมพูชามากกว่าล้านคน ซึ่งสร้างความสะเทือนใจให้กับชาวโลกว่า อำนาจล้นฟ้าที่ท่านผู้นำเขมรแดง อย่างนายพล พต ฯลฯ ได้มาจากการเข่นฆ่าพี่น้องร่วมชาติพันธุ์เดียวกันนั้น มันทำให้เขาเป็นสุขและภาคภูมิใจกับชัยชนะที่ได้มาจริงๆ น่ะหรือ







ย้อนกลับไปเมื่อปี ค.ศ. 1975-1979 ชาวกัมพูชาประมาณ  1.4 ล้านคน ถูกทรมานและถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมทารุณอย่างไร้การเหลียวแล โดยเหตุการณ์สะเทือนใจครั้งนี้มีจุดเริ่มต้นจากการปกครองเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จในรัฐบาลของนายพล ลอน นอล ซึ่งทำการรัฐประหารยึดอำนาจมาจากสมเด็จเจ้านโรดมสีหนุ ทำให้นักศึกษาและประชาชนทั่วประเทศต้องลุกฮือขึ้นมาประท้วงและก่อการจลาจล จนรัฐบาลต้องออกมากล่าวหาว่าพวกเขาเป็นพวกซ้ายจัด สมควรที่จะต้องส่งทหารออกมาปราบปรามด้วยอาวุธ และนั่นก็ส่งผลให้ประชาชนชาวกัมพูชาต้องหลบหนีไปเข้าร่วมกับฝ่ายคอมมิวนิสต์หรือเขมรแดงที่นำโดยนายพล พต ที่ต่อมาสามารถโค่นล้มอำนาจของนายพล ลอน นอลได้ในที่สุด ท่ามกลางความยินดีของประชาชนชาวกัมพูชาที่ไม่รู้เลยว่า เหตุการณ์ในอนาคตที่จะเกิดกับพวกเขานั้นมันเหมือนกับการหนีเสือประจระเข้มากกว่า ซึ่งกว่าจะรู้ตัว... มันก็สายไปเสียแล้ว 

ทุ่งสังหารแห่งกองกำลังเขมรแดงและพิพิธภัณฑ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เขมรแดง ตั้งอยู่บนกิโลเมตรที่ 15ทางตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงพนมเปญ ซึ่งที่นี่ถือเป็นจุดที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด จากหลักฐานหัวกะโหลกมนุษย์ที่ถูกขุดค้นพบในบริเวณนี้กว่า 8,000 ชิ้น รวมทั้งชิ้นส่วนกระดูกและฟันอีกมากมายที่ยังไม่ย่อยสลายไปตามธรรมชาติ จึงทำให้เชื่อได้ว่าชาวกัมพูชาที่ถูกฆ่าอย่างโหดร้ายในทุ่งสังหารนี้ย่อมมีไม่ต่ำกว่า 17,000 คน จากยอดผู้เสียชีวิตมากกว่าล้านคนทั่วประเทศ โดยทั้งหมดถูกขนย้ายมาจากคุกหมายเลข 21 หรือโตสะแลง (Security Prison 21) ที่ดัดแปลงมาจากโรงเรียนเพื่อใช้เป็นสถานที่คุมขังและทรมานนักโทษชาวกัมพูชา ซึ่งหากนักโทษคนไหนที่รอดตายจากการทรมานที่โหดร้ายจนกว่าผู้คุมจะพอใจแล้ว พวกเขาก็จะถูกขนลำเลียงมาที่ทุ่งสังหารแห่งนี้เพื่อฆ่าทิ้งและฝังกลบในคราวเดียว







และนั่นก็ผ่านมาเกือบ 40 ปีแล้ว สำหรับเหตุการณ์สะเทือนใจอีกครั้งของโลก กับความโหดเหี้ยมทารุณของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง วันนี้ทุ่งสังหารและพิพิธภัณฑ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่สนใจในเรื่องราวของประวัติศาสตร์ แต่กระนั้นสถานที่แห่งนี้ก็เต็มไปด้วยร่องรอยที่ก่อเกิดความหดหู่ใจแก่ผู้มาเยือน ด้วยภาพของหัวกะโหลกและชิ้นส่วนกระดูกมากมายที่ถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบภายในเจดีย์ที่สร้างขึ้นมาใหม่ จำนวนหลุมฝังศพขนาดใหญ่กว่าร้อยหลุม ภาพถ่ายของผู้เสียชีวิตทั้งหมดที่ดวงตาของพวกเขาบ่งบอกถึงความสิ้นหวัง รวมถึงภาพวาดที่บอกเล่าเรื่องราวความโหดเหี้ยมของเหล่าทหารเขมรแดง ฯลฯ 

ทั้งหมดนี้คือตัวอย่างภาพสะท้อนของผู้ที่ได้มาซึ่งอำนาจโดยไม่เลือกวิธีการ แม้ว่าจะต้องกำจัดเพื่อนร่วมชาตินับล้านก็ตาม วันนี้แม้นายพล พต จะเสียชีวิตไปแล้วโดยที่ไม่ได้รับโทษที่เขาก่อไว้แต่อย่างใด แต่ช่วงสุดท้ายของชีวิตที่ต้องทรมานด้วยโรคที่รุมเร้า และการต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ ด้วยความกลัวและหวาดระแวงตลอดเวลา ก็เป็นคำตอบสำหรับชาวโลกแล้วว่า อำนาจที่ได้มาอย่างไม่ชอบธรรมนั้นไม่มีทางที่จะมั่นคงและยั่งยืน เพราะประวัติศาสตร์ที่ผิดพลาดนั้นถูกเขียนขึ้นเพื่อให้เราได้ศึกษาและก้าวข้ามไป มิใช่เพื่อให้ใครเดินตาม....