Menu Blog

วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2557

5 เมืองดีที่สุดในเอเชียสำหรับฉลองปีใหม่ 2015

อีกไม่กี่วันก็จะเข้าสู่ช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่แล้ว หลายๆ คนคงวางแผนไว้ในใจเรียบร้อยแล้วว่า จะเดินทางไปเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความสุขนี้กันที่ใด แต่ก็มีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ยังคิดไม่ออกว่าจะไปเที่ยวที่ไหน หรือจะวางแผนการเดินทางอย่างไรดี ดังนั้นมัชรูมทราเวลจึงขอเสนออีก 5 ทางเลือกของการเดินทางในทวีปเอเชียซึ่งมีธีมการจัดงานและวัฒนธรรมที่โดดเด่นแตกต่างกัน อีกทั้งยังได้ชื่อว่าเป็น 5 สถานที่สำหรับการจัดงานปาร์ตี้ส่งท้ายปีเก่าที่ดีที่สุดในภูมิภาคเอเชียอีกด้วย


1. สิงคโปร์

 

ประเทศสิงคโปร์นับว่ามีความเป็นสากลมากที่สุดในทั้งหมด 5 ตัวเลือกนี้ และมีการจัดงานที่มีความหลากหลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในคืนวันที่ 31 ธันวาคม ที่นี่มีทั้งการแสดงดอกไม้ไฟสุดอลังการเหนือขอบฟ้ามารีน่าเบย์แซนด์ ที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวหลากหลายเชื้อชาติมาร่วมนับถอยหลังส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่กันจนแน่นพื้นที่ ปาร์ตี้แบบสุดเหวี่ยงที่ชายหาดไซโลโซบนเกาะเซ็นโตซ่า ที่มีทั้งปาร์ตี้แบบแดนซ์กระจายต่อเนื่องแบบไม่หยุดพักตลอดช่วงกลางวัน รวมถึงสระโฟมขนาดใหญ่ไว้ให้นักท่องเที่ยวได้มันกันอย่างเต็มที่ และสิ่งพิเศษอีกอย่างของการมาเฉลิมฉลองเทศกาลในสิงคโปร์ก็คือ การนั่งกระเช้าลอยฟ้า Singapore Flyer เพื่อดูพลุไฟเหนืออ่าวมารีน่าและนับถอยหลังเข้าสู่วันใหม่นั่นเอง     

2. ไทเป

 

สำหรับการเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ที่ใกล้เข้ามาทุกทีๆ ไทเปถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก โดยในวันส่งท้ายปีเก่า นักท่องเที่ยวทั้งชาวต่างชาติและชาวจีนจะนิยมเดินทางไปยังตึกไทเป 101 ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของเมืองไทเป และยังมีสถานะเป็นอดีตตึกที่สูงที่สุดอีกด้วย โดยที่นี่จะมีการแสดงพลุและดอกไม้ไฟที่สวยงามและอลังการ ซึ่งออกแบบโดยผู้เชี่ยวชาญทางด้านพลุและดอกไม้ไฟจากประเทศฝรั่งเศส นอกจากนั้นยังมีการแสดงคอนเสิร์ตนับถอยหลังที่  Civic Plaza จากนักร้องนักแสดงชื่อดังทั้งจากฝั่งไต้หวันและจีนแผ่นดินใหญ่อีกด้วย

3. ฮ่องกง


 
หนึ่งในการแสดงพลุและดอกไม้ไฟที่งดงามที่สุดในเอเชีย แน่นอนว่าต้องเป็นที่ฮ่องกงนั่นเอง ซึ่งที่นี่ในช่วงเทศกาลปีใหม่ของทุกปีจะมีการแสดงพลุและดอกไม้ไฟเหนืออ่าววิคตอเรียที่ยิ่งใหญ่อลังการ และเรียกความสนใจได้ทั้งจากฝั่งเกาลูนและฮ่องกง รวมไปถึงการแสดงแสงสีเสียงเหนือท้องฟ้าของเกาะฮ่องกงที่น่าตื่นตาตื่นใจไม่น้อย ทำให้ในแต่ละปี ฮ่องกงกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมักนิยมมาเฉลิมฉลองเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่กันอย่างคับคั่ง 

4. ปักกิ่ง


 
แม้ว่าที่ประเทศจีน การเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่สากลจะไม่ได้รับความนิยมเทียบเท่ากับช่วงเทศกาลตรุษจีน แต่ในปัจจุบันตามเมืองใหญ่ๆ อย่างปักกิ่งหรือเซี่ยงไฮ้ก็มีการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่และได้รับความสนใจจากหนุ่มสาวชาวจีนรุ่นใหม่ไม่น้อย โดยที่ปักกิ่งนั้นจุดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือการนับถอยหลังสู่ปีใหม่ที่จัดขึ้นพระราชวังฤดูร้อนที่เต็มไปด้วยแสงสีเสียงที่อลังการและงดงาม ส่วนอีกที่ที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กันก็คือการจัดปาร์ตี้ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ณ  798 อาร์ตโซน สถานที่จัดแสดงงานศิลปะที่โดดเด่นของจีนนั่นเอง

 5. โตเกียว
 


สำหรับเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่โตเกียวนั้นมีความน่าสนใจมาก ตามประตูรั้วบ้านและห้างร้านของชาวญี่ปุ่นจะถูกประดับประดาด้วยใบสน ใบเฟิร์น ฟางข้าว และสิ่งมงคลต่างๆ จากนั้นในช่วงยามค่ำคืน พวกเขาก็จะหลั่งไหลไปที่ศาลเจ้าหรือวัดใกล้บ้านเพื่อไหว้พระขอพร โดยที่วัดและศาลเจ้าต่างๆ เหล่านั้นก็จะมีการจัดงานเทศกาล Okera Matsuri ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่เวลา 19.30 น. ของวันส่งท้ายปีเก่ายาวไปจนกระทั่งถึงเช้าของวันใหม่ นอกจากนั้นตามแหล่งบันเทิงที่มีชื่อเสียงในโตเกียวก็ยังมีการจัดงานปาร์ตี้ที่เต็มไปด้วยความบันเทิง อาทิ ย่านชิบูย่า ย่านชินจูกุ เป็นต้น 

วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2557

วางแผนเที่ยววันหยุดปี 58

ปีเก่ากำลังผ่านไป ส่วนปีใหม่ก็กำลังก้าวเข้ามา และสำหรับเหล่าสาวกนักเที่ยวตัวยงที่กำลังวางแผนการเที่ยวปีหน้า แต่ยังตัดสินใจเรื่องวันหยุดวันลาไม่ได้แล้วล่ะก็ วันนี้มัชรูมทราเวลก็มี Info-graphic การวางแผนเที่ยวและวันหยุดปี 58 มาฝาก ส่วนจะหยุดวันไหน จะลาเมื่อไหร่ อันนี้ก็คงต้องวางแผนจัดสรรวันลาพักร้อนกันให้ดีๆ เพราะขอบอกไว้ก่อนเลยว่า ปีหน้ามีวันหยุดต่อเนื่องให้ได้ชีพจรลงเท้ากันเพียบ!!


มัชรูมทราเวล

วันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2557

HONG KONG WINTERFEST เทศกาลฤดูหนาวแห่งเกาะฮ่องกง

หากพูดถึงเทศกาลส่งท้ายปลายปีที่ยิ่งใหญ่และสนุกสนานแล้วล่ะก็ ฮ่องกง วินเทอร์เฟสถือเป็นอีกหนึ่งงานเทศกาลที่นักท่องเที่ยวชาวไทยมิควรพลาด ด้วยแบบแผนของการฉลองคริสต์มาสของชาวตะวันตกที่ผสมผสานกับมนต์เสน่ห์แห่งโลกตะวันออกได้อย่างลงตัว จนกลายเป็นเทศกาลแห่งความสุขบนดินแดนแห่งมหานครระดับโลกของเอเชียอย่างฮ่องกง โดยตึกรามบ้านช่องและถนนหนทางทั่วทั้งเกาะฮ่องกงและฝั่งเกาลูนจะสว่างไสวตลอดทั้งเทศกาล ในขณะที่ร้านค้าต่างๆ ก็พากันลดราคาอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ เรียกความสนใจจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวฮ่องกงและชาวต่างชาติได้อย่างดียิ่ง



การเฉลิมฉลองประจำปีของเทศกาลวันหยุดในฮ่องกง

เทศกาลฮ่องกง วินเทอร์เฟสเป็นเทศกาลแห่งการท่องเที่ยวที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างเอกลักษณ์ของประเพณีคริสต์มาสของชาวตะวันตกและชาวตะวันออก ซึ่งจัดขึ้นโดยการท่องเที่ยวฮ่องกงในวันที่ 5 ธันวาคม จนถึงวันที่ 1 มกราคม2558 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักท่องเที่ยวที่มาเยือนได้รับประสบการณ์ในการพักผ่อนที่ดีที่สุดในช่วงเทศกาลแห่งฤดูกาลหนาว รวมทั้งในช่วงคริสมาสต์และปีใหม่ที่เต็มไปด้วยความสวยงามของแสงไฟระยิบระยับ เสน่ห์ของประเพณีโบราณ เสียงเพลงจากคณะนักร้องประสานเสียง และการแสดงอันยอดเยี่ยมของดอกไม้ไฟเหนือวิคตอเรียฮาร์เบอร์ โดยหนึ่งในไฮไลท์สำคัญนั้นอยู่ตรงบริเวณรูปปั้นกลางไทม์ สแควร์ ฮ่องกงซึ่งกลายเป็นไอคอนของงานเทศกาลไปแล้ว รวมถึงการกำหนดธีมของงานที่แตกต่างกันในแต่ละปี และสปอนเซอร์ผู้สนับสนุนที่มาในรูปของเหล่าต้นคริสมาสต์ขนาดใหญ่ยักษ์ที่ประจำตามจุดสำคัญต่างๆ ทั่วทั้งเกาะ นอกจากนั้นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งเกาะฮ่องกงในแต่ละแห่งก็มีการจัดงานที่โดดเด่นไม่แพ้กันอีกด้วย ทั้ง ฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ ฮ่องกงโอเชี่ยนพาร์ค พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งมาดามทุสโซ่ ฮ่องกงเว็ทแลนด์พาร์ค กระเช้านองปิง และ Sky100 จุดชมวิวแห่งใหม่ของฮ่องกงบนตึก ICC เป็นต้น


Hong Kong Pulse 3D Light Show ไฮไลท์สำคัญประจำปี 2014

ในปี 2014 นี้ การท่องเที่ยวฮ่องกงก็ได้เพิ่มไฮไลท์สำคัญสำหรับเทศกาลฮ่องกงวินเทอร์เฟส เพื่อให้นักท่องเที่ยวที่มาเยือนได้เพลิดเพลินไปกับช่วงเวลาที่แสนพิเศษในรูปแบบของการแสดงแสงสีเสียงแบบ 3 มิติที่งดงามและน่าตื่นตาตื่นใจ ซึ่งมาในธีมของการแสดงที่สร้างสรรค์ โดยใช้ผนังของศูนย์วัฒนธรรมฮ่องกงเป็นฉากหลัง รวมถึงยังมีการจัดแสดงที่หอนาฬิกาในย่านจิมซาจุ่ยอีกด้วย 
สถานที่จัดการแสดง: ศูนย์วัฒนธรรมฮ่องกง และหอนาฬิกาในย่านจิมซาจุ่ย
วันและเวลา: วันที่ 17 – 29 ธันวาคม 2557  เวลา 20.30, 21.00, 21.30 และ 22.00 น. (โดยทำการแสดงประมาณ 15 นาทีต่อหนึ่งโชว์)
How to get there: รถไฟ MRT สถานี East Tsim Sha Tsui ทางออก L6 หรือ J และรถไฟ MRT สถานี Tsim Sha Tsui ทางออก H

Hong Kong Travel Tip

สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการมาเยี่ยมเยือนเกาะฮ่องกง นอกจากในช่วงเทศกาลลดทั้งเกาะในเดือนกรกฎาคม – สิงหาคมแล้ว เดือนธันวาคมก็เป็นหนึ่งในเดือนที่ดีที่สุดในการมาเที่ยวชมเกาะฮ่องกง ด้วยสภาพอากาศที่ค่อนข้างเย็นในอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ  12 - 20 องศาเซลเซียส รวมทั้งโอกาสในการดื่มด่ำกับบรรยากาศริสมาสต์ที่มีมนต์ขลังและโรแมนติกที่ไม่ไกลจากเมืองไทยมากนัก 

วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

สุดยอดสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีในโตเกียว ที่ใครๆ ก็ไปเที่ยวได้ง่ายๆ

การชมใบไม้เปลี่ยนสีสัน หรือ “โคโย” ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่ประเทศญี่ปุ่น ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมยอดนิยมไม่ต่างจากการชมดอกซากุระในช่วงฤดูใบไม้ผลิสำหรับชาวอาทิตย์อุทัยมานานนับศตวรรษ โดยจะเริ่มในช่วงประมาณกลางเดือนพฤศจิกายนไปถึงช่วงต้นเดือนธันวาคม ฤดูกาลจะค่อยๆ เริ่มจากภาคเหนือของประเทศจนถึงภาคใต้ คนจำนวนมากต่างทยอยเดินทางไปชมใบไม้เปลี่ยนสีในจุดที่มีชื่อเสียงที่สุดในญี่ปุ่นทั้งภูเขาและในเมือง ส่วนในกรุงโตเกียวนั้น ใบไม้จะเริ่มเปลี่ยนสีตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนจนถึงต้นเดือนธันวาคมของทุกปี โดยมีจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่มีชื่อเสียงอยู่มากมาย ดังเช่น 6 สถานที่ดังต่อไปนี้ที่มัชรูมทราเวลนำมาฝากทุกท่าน


สวนริคุงิเอน 



ในวันที่ 20 พฤศจิกายน – 7 ธันวาคม 2014 สวนริคุงิเอนเปิดให้บริการในเวลา 09.00- 21.00 น. โดยเสียค่าเข้าชมคนละ 300 เยน ซึ่งสวนริคุงิเอนนี้เป็นสวนขนาดใหญ่ในสมัยเอโดะที่ได้รับการยอมรับว่าสวยที่สุดในโตเกียว โดยภายในสวนประกอบไปด้วยเส้นทางเดินที่สองข้างทางประกอบไปด้วยต้นไม้ที่ให้ความร่มรื่นมากมาย มีสระน้ำขนาดใหญ่ตรงกลางสวนซึ่งล้อมรอบไปด้วยภูเขาที่มนุษย์สร้างขึ้น นอกจากนั้นริคุงิเอนยังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในช่วงฤดูใบไม้ร่วง อันเนื่องมาจากต้นเมเปิ้ลที่มีอยู่มากมายเต็มพื้นที่ของสวนแห่งนี้จะพากันเปลี่ยนเป็นสีแดงสวยแปลกตา 
How to get there:  เดินเท้าจากสถานีโคมาโกเมะไปทางทิศใต้ประมาณ 5-10 นาที ก็จะเจอกับประตูหลักทางเข้าสวนริคุงิเอนแล้ว 

สวนโคอิชิคาวะ โคระคุเอง


 

สวนโคอิชิคาวะ โคระคุเองเป็นอีกหนึ่งสวนสาธารณะที่โดดเด่นในเรื่องของการชมใบไม้เปลี่ยนสี ที่สำคัญยังตั้งอยู่ติดกับโตเกียวโดมอีกด้วย โดยโคอิชิคาวะ โคระคุเองเป็นสวนแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่ประกอบไปด้วยบ่อหินจำนวน 3 บ่อที่รายล้อมไปด้วยต้นเมเปิ้ลและต้นแปะก๊วย รวมถึงภูเขาหินที่มนุษย์สร้างขึ้นตามแบบฉบับของสวนในสมัยเอโดะ ทั้งนี้ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม ผู้คนจะหลั่งไหลมาที่นี่เพื่อชมใบไม้เปลี่ยนสีทั้งสีแดงของต้นเมเปิ้ลและสีเหลืองทองของต้นแปะก๊วย ซึ่งเปิดให้ชมทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น. โดยเสียค่าเข้าชมคนละ 300 เยนเท่านั้น
How to get there: จากสถานีรถไฟอิดาบาชิทางออกประตู C3 ใช้เวลาเดินเท้าเพียง 5-10 นาทีเท่านั้นก็จะถึงสวนแล้ว 

ถนนอิโชนามิกิ

 

ถนนอิโชนามากิตั้งอยู่ในย่านเมจิจิงกุที่ทั้งสองฝั่งของถนนปลูกต้นแปะก๊วยอยู่เรียงราย จนทำให้ที่นี่ถูกเรียกว่าถนนสายแปะก๊วย ซึ่งในช่วงเดือนพฤศจิกายนจนถึงเดือนธันวาคม ต้นแปะก๊วยทั้งหมดจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองน่าดู ทำให้นักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินทางมาชมความงามของต้นแปะก๊วยยังถนนแห่งนี้ บ้างก็มาเพื่อวาดภาพ บ้างมาเดินเล่น บ้างก็มาจิบกาแฟในร้านกาแฟริมถนน เป็นต้น
How to get there: นั่งรถไฟใต้ดินสายกินซ่าสีส้มมายังสถานีไกเอนมาเอะ จากทางออกหมายเลข 4 ให้เดินเลี้ยวไปทางซ้ายมือก็จะเจอกับทางเข้าถนนสายอิโชนามากิอันสวยงาม 

สวนสาธารณะชินจูกุ

 

สวนสาธารณะชินจูกุเป็นสวนขนาดใหญ่ที่ใหญ่ที่สุดและได้รับความนิยมอีกแห่งของโตเกียวที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานีชินจูกุ ซึ่งสวนแห่งนี้เป็นสวนแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมในสมัยเอโดะที่เต็มไปด้วยบ่อน้ำขนาดใหญ่ หมู่เกาะและสะพานไม้ที่ถูกล้อมรอบไปด้วยพุ่มไม้และต้นไม้ใหญ่ที่สวยงาม รวมถึงที่นี่ยังมีศาลาที่เคยใช้ในการจัดงานอภิเษกสมรสของจักรพรรดิโชวะอีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้น ที่นี่ยังถูกจัดแต่งให้เป็นสวนในแบบต่างๆ ทั้งสวนฝรั่งเศส สวนอังกฤษ และสวนในเขตร้อน เป็นต้น ส่วนในช่วงฤดูใบไม้ร่วงก็มีผู้คนจำนวนมากเดินทางมาชมใบไม้เปลี่ยนสีที่มีอยู่หลากหลายสายพันธุ์โดยเฉพาะต้นเมเปิ้ลเที่มีอยู่มากมายภายในสวนสาธารณะชินจูกุแห่งนี้
How to get there: จากสถานีชินจูกุ ใช้เวลาเดินเท้าเพียง 10 นาทีไปทางทิศตะวันออกก็จะเจอเข้ากับสวนสาธารณะชินจูกุแล้ว


ภูเขาทาคาโอะ

 

ภูเขาทาคาโอะตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของกรุงโตเกียว ที่นี่ถือเป็นสถานที่เดินป่าที่ค่อนข้างวุ่นวายโดยเฉพาะในฤดูใบไม้ร่วงที่ได้รับความนิยมทั้งจากนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติ ซึ่งในระยะทาง 599 เมตรจากตีนเขาจนถึงยอด นักท่องเที่ยวที่มาเยือนจะได้มีโอกาสเห็นฝูงลิงป่าญี่ปุ่นนับร้อยๆ ตัวในอุทยานลิง ต้นไม้ใหญ่และดอกไม้ป่ากว่า 500 ชนิด และเมื่อขึ้นไปถึงยอดเขา ก็จะมองเห็นต้นไม้หลากสีสันกระจายไปทั่วภูเขาทั้งลูก ทั้งสีส้ม สีแดง สีเหลือง ฯลฯ หรือหากใครเดินป่าไม่ไหว ที่นี่ก็มีเคเบิลคาร์ให้บริการด้วยเช่นกัน 
How to get there: นั่งรถไฟด่วนจากสถานีรถไฟใต้ดินเคโอชินจูกุซึ่งรถไฟจะออกในทุกๆ 20 นาที โดยใช้เวลาประมาณ 50 นาที ก็จะมาถึงสถานีทาคาโอะซังกูจิที่ตั้งอยู่ตีนเขาแล้ว โดยมีค่าใช้จ่ายต่อเที่ยวอยู่ที่ 390 เยน หรือนั่งรถบัสจากสถานี JR Kyoto โดยรถบัสจะออกในทุกๆ 20-30 นาที และมีค่าใช้จ่ายต่อเที่ยว 520 เยน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 50 นาที

สวนสาธารณะโชวะ คิเนน

 

เมื่อพูดถึงสถานที่สำหรับชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ตั้งอยู่ในกรุงโตเกียว สวนสาธารณโชวะ คิเนนก็เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาดเช่นกัน ด้วยจุดเด่นคือเส้นทางเดินต้นแปะก๊วยที่ถูกปลูกเรียงกันเป็นแนวสวยตั้งแต่ทางเข้าหลักจะพากันเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองยาวเหยียดจนกระทั่งถึงลานน้ำพุกลางสวน  นับเป็นภาพประทับใจที่ใครๆ มาเห็นก็ต่างลืมไม่ลงกันเลยทีเดียว ซึ่งโชวะ คิเนนนี้เป็นสวนขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับสถานีรถไฟทาจิคาวะในภาคตะวันตกของโตเกียว 
How to get there: นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปยังสวนสาธารณะโชวะ คิเนนโดยรถไฟสาย JR Chou จากสถานีชินจูกุไปยังสถานีทาจิคาวะโดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที



วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

6 สิ่งควรรู้ ก่อนเดินทางเที่ยวพม่ารับปีใหม่

หลังจากเปิดประเทศอย่างเป็นการเมื่อปี 2011 ที่ผ่านมา ทำให้พม่าในวันนี้กลายเป็นประเทศที่น่าจับตามองที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในเรื่องของการท่องเที่ยว ด้วยพม่านั้นเต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวทางศาสนาและวัฒนธรรมที่น่าสนใจและสวยงามไม่แพ้ชาติใดในโลก โดยเฉพาะ 5 มหาบูชาสถานที่ล้ำค่าของพม่า  ได้แก่ พระมหาเจดีย์ชเวดากอง มหาเจดีย์ชเวซิกอง พระมหาเจดีย์ชเวมอดอร์ พระมหามัยมุนี และพระธาตุอินทร์แขวน อย่างไรก็ตาม นอกจากแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามแล้ว สภาพแวดล้อม วิถีชีวิต นิสัยใจคอของชาวพม่า ก็เป็นสิ่งสำคัญอีกอย่างที่เราควรรู้ก่อนตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวยังประเทศแห่งนี้ ดังเช่นที่มัชรูมทราเวลนำมาฝากทุกท่านในวันนี้


อินเทอร์เน็ตสามารถใช้งานได้ แต่ค่อนข้างช้า

อันที่จริงระบบอินเทอร์เน็ตได้เข้าสู่ประเทศพม่าในช่วงปี 2000 แต่ก็มีราคาสูง และการเชื่อมต่อที่ค่อนข้างช้า เนื่องจากไม่ได้มีการใช้งานอย่างแพร่หลาย อีกทั้งรัฐบาลของพม่าในอดีตก็ยังปิดกั้นข้อมูลบางอย่างจากประชาชนชาวพม่า อย่างการบล็อกเว็บไซต์ยอดนิยมอย่าง Youtube และ Gmail เป็นต้น และเพิ่งจะปลดบล็อกเมื่อไม่นานมานี้เอง นอกจากนี้โทรศัพท์มือถือที่สามารถเชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ตได้ ก็ยิ่งห่างไกลจากความนิยมมากขึ้น นั่นก็เพราะราคาที่สูงกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกัน

แม้จะมีเงินมากมายแค่ไหน แต่ต้องแน่ใจว่าสะอาด

ที่พม่านั้นมีตู้เอทีเอ็มไม่มากมายนัก ดังนั้นนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมายังพม่า ควรแลกเงินที่คาดว่าจำเป็นต้องใช้ให้เพียงพอ นอกจากนั้นก็ควรแลกเงินในสกุลดอลลาร์สหรัฐ ไว้บ้างเป็นบางส่วน เพราะที่พม่านอกจากเงินในสกุลจ๊าตซึ่งเป็นเงินสกุลหลักของที่นี่แล้ว ตามร้านค้าต่างๆ เงินดอลลาร์สหรัฐก็สามารถใช้จ่ายเพื่อซื้อของได้ แต่ทั้งนี้คุณต้องแน่ใจว่าเงินที่แลกมานั้นต้องสะอาดไม่มีเศษคราบใดๆ ติดอยู่ แม้กระทั่งรอยปากกาขีดเขียน และต้องไม่มีรอยยับและรอยพับอีกด้วย มิเช่นนั้นเงินของคุณจะกลายเป็นสิ่งที่ไร้ค่าในประเทศพม่าทันที


หากได้ยินเสียงที่คล้ายกับเสียงจูบ นั่นหมายถึงคุณต้องการเบียร์ไหม

สำหรับสถานบันเทิงในพม่า เพื่อเป็นการเรียกร้องความสนใจจากผู้ใช้บริการหรือผู้คนทั่วไปที่เดินผ่าน เหล่าบริกรภายในร้านจะพากันส่งเสียงคล้ายเสียงจูบจุ๊บๆ ประมาณครั้งหรือสองครั้ง เพื่อเป็นการบอกกล่าวว่าที่นี่มีบริการเบียร์นะ คุณต้องการไหม? โดยเฉพาะในเมืองย่างกุ้งบริเวณย่านไชน่าทาวน์ยามค่ำคืน นักท่องเที่ยวที่เดินผ่านจะได้ยินเสียงเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้เบียร์พม่านั้นมีราคาที่ถูกมาก คือราคาประมาณ 60 เซ็นต์ต่อเหยือกเท่านั้น 

โรงแรมในพม่ามีราคาแพง

หากใครมีโอกาสเดินทางไปเที่ยวพม่าเมื่อปี 2011 หลังจากที่พม่าเปิดประเทศใหม่ๆ นั้น จะเห็นว่าห้องพักภายในโรงแรมมีราคาที่ถูกมาก คือประมาณคืนละ 25 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น แต่ปัจจุบันราคาห้องพักในพม่าพุ่งสูงขึ้นถึง 350% เลยทีเดียว สาเหตุก็เนื่องมาจากจำนวนนักธุรกิจและนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่หลั่งไหลเข้าไปในพม่านั่นเอง ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาของอุปสงค์และอุปทาน ทั้งนี้ปัญหาอย่างหนึ่งที่ผู้ประกอบการในพม่าต้องเร่งแก้ไขก็คือ การเพิ่มและขยายกิจการโรงแรมและห้องพักให้เพียงพอต่อจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าสู่พม่าในอนาคตนั่นเอง


5. วัฒนธรรมเรื่องอาหารของชาวพม่า

อาหารของชาวพม่าประกอบไปด้วยข้าวนึ่ง ปลา เนื้อสัตว์ ผัก และน้ำซุป โดยอาหารทั้งหมดจะถูกเสิร์ฟเป็นชุดในเวลาเดียวกัน โดยมาพร้อมกับเครื่องปรุงรสชนิดต่างๆ นอกจากนี้ในฐานะที่ชาวพม่าส่วนใหญ่ค่อนข้างเคร่งครัดในพุทธศาสนา พวกเขาจึงไม่นิยมรับประทานเนื้อวัวกัน ส่วนวิธีการรับประทานนั้น ชาวพม่าจะปั้นข้าวเป็นลูกกลมๆ เล็กแล้วกินกับอาหารชนิดอื่นๆ ซึ่งการใช้มือหยิบจับอาหารจะใช้เฉพาะมือข้างขวาเหมือนกับการหยิบจับเงินเพื่อใช้จ่าย เนื่องจากเป็นเรื่องที่หยาบคายมากหากมีใครรับประทานด้วยมือซ้าย เพราะมือซ้ายถือเป็นมือที่ใช้สำหรับสุขอนามัยส่วนบุคคลเท่านั้น 

6. หลีกเลี่ยงการเดินทางโดยรถไฟในพม่า

หากเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกัน รถไฟในประเทศพม่าอาจเรียกได้ว่าด้อยคุณภาพมากที่สุดก็ว่าได้ ทั้งความแออัด เส้นทางรถไฟ สภาพรถไฟ และระยะเวลาในการเดินทางที่มีชื่อเสียงว่าช้าที่สุด ยกตัวอย่างเช่นการเดินทางจากกรุงย่างกุ้งสู่เมืองมัณฑะเลย์ในระยะทาง 643.3 กิโลเมตร ซึ่งหากคุณนั่งรถไฟจะต้องใช้เวลาเดินทางมากถึง 16 ชั่วโมงเลยทีเดียว ดังนั้นหากนักท่องเที่ยวที่ไปเยือนพม่า แนะนำให้ใช้การเดินทางโดยเครื่องบินจะสะดวกสบายที่สุด  อย่างไรก็ดี คนพม่าจำนวนมากนิยมเดินทางด้วยรถไฟ เนื่องจากมีราคาถูกมากเมื่อเทียบกับการเดินทางโดยรถยนต์หรือเครื่องบินนั่นเอง


วันพุธที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เกาะซามามิ... ความสมบูรณ์แบบที่หลบซ่อนใต้หน้ากากโอกินาวะ

จังหวัดโอกินาวะเป็นจังหวัดซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่น ประกอบไปด้วยเกาะเล็กเกาะน้อยมากมายเรียงเป็นแนวยาวกว่าพันกิโลเมตรจนถึงเกาะไต้หวัน โดยมีเกาะโอกินาวะเป็นศูนย์กลางและยังเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะริวกิวซึ่งในอดีตช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีสถานะเป็นที่ตั้งของฐานทัพเรือแห่งสหรัฐฯ มาก่อน แต่ปัจจุบันโอกินาวะเปรียบได้ดังสวรรค์บนดิน ด้วยสภาพอากาศที่อบอุ่น บวกกับหาดทรายสีขาวเนื้อละเอียด น้ำทะเลสีฟ้าครามสดใส และหมู่ปะการังพร้อมฝูงปลาหลากสีที่ยังคงความสมบูรณ์ในพื้นที่ทะเลแห่งนี้ ส่งให้ผลให้โอกินาวะกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวและสถานพักร้อนในฝันของทั้งนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและชาวญี่ปุ่นไปโดยปริยาย 


อย่างไรก็ดี ท่ามกลางความสวยงามของโอกินาวะที่น่าหลงใหล รวมทั้งหมู่เกาะน้อยใหญ่นับร้อยที่กระจัดกระจายอยู่ทั่ว ยังมีเกาะแห่งหนึ่งซึ่งซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางเกาะมากมายเหล่านั้น และมีความสวยงามไม่แพ้เกาะใหญ่อย่างโอกินาวะเลย ซึ่งสถานที่แห่งนั้นก็คือเกาะซามามิที่มัชรูมทราเวลจะมาแนะนำให้ท่านได้รู้จักกับเกาะแห่งนี้มากยิ่งขึ้นในวันนี้

รู้จักเกาะซามามิแห่งโอกินาวะ


เกาะซามามิเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะเล็กๆ ที่ชื่อว่าเครามะ ในจังหวัดโอกินาวะ ซึ่งตั้งอยู่นอกเขตชายฝั่งของเมืองนาฮะอันเป็นเมืองเอกของจังหวัดโยโกฮามะไปทางทิศใต้ประมาณ 40 กิโลเมตร ภายในเกาะพื้นที่ส่วนใหญ่ล้วนเต็มไปด้วยป่าไม้เขียวขจี และมีหน้าผาสูงชัน และที่พิเศษยิ่งไปกว่านั้นก็คือความสมบูรณ์ของแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติของเกาะแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นทะเลกว้างสีฟ้าใส หาดทรายขาวกว่า 25 แห่ง รวมถึงแนวปะการังอันงดงามของที่นี่ซึ่งส่งผลให้เกาะซามามิกลายเป็นแหล่งดำน้ำที่ดีที่สุดอีกแห่งหนึ่งในโลกอีกด้วย อีกทั้งในช่วงฤดูหนาวระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ นักท่องเที่ยวที่มาเยือนยังมีโอกาสที่จะได้ชมปลาวาฬหลังค่อมที่หาชมได้ยากยิ่ง รวมถึง 3 เกาะร้างที่อยู่ไม่ห่างจากเกาะซามามิมากนักก็กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกหนึ่งแห่งที่นักท่องเที่ยวนิยมนั่งเรือเฟอร์รี่ไปสำรวจเช่นเดียวกัน

 

ทั้งนี้เกาะมาซามิมีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 600 หลังคาเรือน กระจายกันตามหมู่บ้านต่างๆ โดยมีหมู่บ้านหลักซึ่งมีชื่อเดียวกับเกาะนั่นเอง นอกจากนั้นภายในเกาะยังมีสถานที่อำนวยความสะดวกมากมาย ทั้งสำนักงานหมู่บ้าน ป้อมตำรวจ โรงเรียน  โรงแรมกว่า 40 แห่ง ร้านอาหาร 10 แห่ง และหอสังเกตการณ์อีก 6 แห่ง 

แหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงแห่งเกาะซามามิ


หาดฟุรุซามามิ ตั้งอยู่ห่างจากท่าเรือของเกาะไปทางทิศตะวันออก โดยใช้เวลาขับรถประมาณ 10 นาที ซึ่งฟุรุซามามิถือเป็นชายหาดที่สวยงามและมีชื่อเสียงมากที่สุด ด้วยความโค้งเว้าของชายหาดที่เหมาะเจาะพอดิบพอดี ประกอบกับหาดทรายสีขาว และแนวปะการังที่ยังคงความสมบูรณ์รอบๆ ชายหาดแห่งนี้ จึงทำให้กิจกรรมที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากนักท่องเที่ยวก็คือการดำน้ำดูปะการังนั่นเอง 


หาดอามิ เป็นชายหาดที่เงียบสงบหากเทียบกับฟุรุซามามิ ซึ่งที่นี่แม้ไม่เหมาะกับการดำน้ำดูปะการัง แต่นักท่องเที่ยวที่มาเยือนที่นี่ก็มีโอกาสที่จะได้ชมวิถีชีวิตของเต่าทะเลที่มักจะขึ้นมาวางไข่ในบริเวณนี้ รวมถึงการชมวิวทิวทัศน์ของเกาะเล็กเกาะน้อยรอบๆ อีกทั้งที่นี่ยังเหมาะสมสำหรับการชมพระอาทิตย์ตกดินอีกด้วย


หอสังเกตการณ์ทาคัตสึคิยามะ ตั้งอยู่บนจุดสูงสุดของเกาะในบริเวณด้านหลังหมู่บ้านซามามิ โดยหอแห่งนี้จะสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามได้ทั้งหมู่บ้านซามามิ ทางใต้ของเกาะ และหากวันไหนที่ฟ้าสดใสก็จะสามารถมองเห็นเมืองนาฮะที่ตั้งอยู่บนเกาะโอกินาวะได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังมีเส้นทางเล็กๆ ที่เชื่อมไปยังหาดฟุราซามามิและหาดโทกะชิกิได้ด้วย


หอสังเกตการณ์คามิโนฮามะ ตั้งอยู่บนถนนทางด้านตะวันตกของหมู่บ้านอามะ ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเดินเท้าจากหาดอามิไปยังหอสังเกตการณ์แห่งนี้ได้ในเวลาประมาณ 15-20 นาที โดยคามิโนฮามะถือเป็นสถานที่ที่ดีสำหรับการถ่ายภาพน้ำทะเลสีเทอร์ควอยซ์ของหาดอามะ รวมถึงการดูพระอาทิตย์ตกดิน ป่าไม้ และวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม อีกทั้งยังเหมาะสำหรับการมาปิกนิกอีกด้วย

Getting there: 


สำหรับการเดินทางสู่โอกินาวะนั้น นักท่องเที่ยวสามารถนั่งเครื่องบินภายในประเทศจากโอซาก้าหรือโตเกียวมายังสนามบินเมืองนาฮะโดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงเศษ จากนั้นจึงต่อรถบัสหรือรถแท็กซี่ไปยังท่าเรือนาฮะ จากนั้นจึงต่อเรือไปยังเกาะซามามิ โดยมีเรือให้บริการ 2 แบบคือ เรือเฟอร์รี่ซามามิใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 120 นาที และเรือควีนซามามิ (เรือด่วน) ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 50 นาที
 

วันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เปิดการท่องเที่ยวมุมมองใหม่ เยือน 6 เกาะแก่งแห่งเกาหลีใต้

เกาหลีใต้เป็นประเทศที่มีพื้นที่กว่า 50% ติดชายฝั่งทะเล ทั้งส่วนใต้ของคาบสมุทรเกาหลี และทะเลญี่ปุ่น นั่นจึงทำให้ประเทศแห่งนี้กลายเป็นอีกหนึ่งประเทศในโลกที่มีเกาะน้อยใหญ่รายล้อมอยู่มากมายถึง 3,358 เกาะที่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการนอกชายฝั่งเกาหลีใต้ ซึ่งเกาะที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือเกาะเจจูที่อยู่ทางใต้ของจังหวัดจอลลาใต้นั่นเอง เนื่องจากมีบรรยากาศที่โรแมนติกแบบประเทศในเขตร้อน และมีบรรยากาศที่ค่อนข้างอบอุ่นสบายเมื่อเทียบกับพื้นที่อื่นๆ ของประเทศ รวมถึงยังมีสิ่งมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่งดงามจับตาชวนให้น่าค้นหาอีกด้วย อย่างไรก็ดี นอกจากเกาะเจจูแล้ว เกาหลีใต้ยังมีเกาะอื่นๆ ที่น่าสนใจอยู่อีกมากมาย ดังเช่น 6 เกาะที่มัชรูมทราเวลนำมาฝากในวันนี้


เกาะฮงโด (Hongdo)



เกาะฮงโดมีพื้นที่ 6.47 ตางรางกิโลเมตร อยู่ห่างจากท่าเรือมกโพไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 115 กิโลเมตร โดยที่มาของชื่อฮงโดที่แปลว่าสีแดงเข้มนั้นตั้งตามลักษณะของเกาะ ซึ่งทุกวันขณะที่พระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า แสงสุดท้ายของวันจะเปลี่ยนเกาะแห่งนี้ให้เป็นสีแดงเข้มนั่นเอง นอกจากนั้นเกาะฮงโดยังมีจุดเด่นด้วยหน้าผาสูงที่มีหินรูปทรงต่างๆ กระจัดกระจายอยู่ทั่วทั้งเกาะ มีจุดชมวิวถึง 33 แห่ง รวมไปถึงเสน่ห์ของทะเลสีคราม และป่าไม้สีเขียวชอุ่มซึ่งประกอบด้วยพืชพรรณกว่า 270 ประเภท และเป็นบ้านของสัตว์ป่าถึง 170 สายพันธุ์ ซึ่งรัฐบาลได้กำหนดให้เกาะแห่งนี้เป็นเขตอนุรักษ์ธรรมชาติในปี ค.ศ.1965 และเปลี่ยนเป็นอุทยานแห่งชาติทางทะเลดาโดแฮในปี ค.ศ.1981



เกาะอุลลึงโด (Ullengdo)



เกาะอุลลึงโดคือสถานที่พักผ่อนอีกหนึ่งแห่งซึ่งเป็นที่นิยมของชาวเกาหลี และเป็นพื้นที่ประมงสำคัญของชายฝั่งทะเลตะวันออก โดยเฉพาะการจับปลาหมึก ทำให้สินค้าแปรรูปของที่นี่อย่างปลาหมึกแห้งกลายเป็นสินค้าที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก ทั้งนี้เกาะอุลลึงโดมีความยาว 268 กิโลเมตร และมีความกว้างถึง 73.15 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองโพฮังอันเป็นตำแหน่งสุดปลายฝั่งตะวันออกของเกาหลีใต้ ซึ่งจุดเด่นของอุลลึงโดก็คือเป็นเกาะที่เต็มไปด้วยภูเขาไฟ ถ้ำ น้ำตก หน้าผาสูงชันที่มีหินมีรูปร่างประหลาดอยู่มากมาย ต้นไม้โบราณนานาพรรณ ชวนให้นักท่องเที่ยวที่เคยมาเยือนที่นี่ต่างหลงใหลในมนต์เสน่ห์ และอยากกลับมาอีกครั้งแล้วครั้งเล่า


เกาะคอเจ (Geojedo) 






คอเจเป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับสองของเกาหลีรองจากเกาะเจจู ทั้งยังเป็นอีกเกาะที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวค่อนข้างได้รับความนิยม ด้วยเป็นศูนย์กลางของการท่องเที่ยวในเขตอุทยานแห่งชาติทางทะเลฮัลลยอซึ่งประกอบไปด้วยพื้นที่ชายฝั่งทางตอนใต้ของคาบสมุทรเกาหลีที่รวมเกาะเล็กเกาะน้อยแห่งทะเลใต้อีกกว่า 400 เกาะ นอกจากนั้นคอเจยังถูกกล่าวขานด้วยความงามโดดเด่นของเนินเขาเขียวชอุ่มริมทะเลอย่าง  Hill of the Wind และไข่มุกดำแห่งชายหาดฮักดง มงดล ซึ่งเป็นหาดที่ประกอบไปด้วยก้อนกรวดสีดำโดยรอบ และก่อให้เกิดเสียงเหมือนโลหะกระทบกันดังกรุ๊งกริ๊งเมื่อคลื่นสาดเข้าหาชายหาด

เกาะอุโด้ (Udo)



อุโด้เป็นเกาะที่ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของเกาะเจจู ซึ่งคำว่าอุโด้นี้ในภาษาเกาหลีจะหมายถึงเกาะวัว ซึ่งเป็นชื่อที่ตั้งมาจากลักษณะทางกายภาพของเกาะแห่งนี้ที่ดูคล้ายกับวัวกำลังนอนหมอบอยู่นั่นเอง โดยเกาะอุโด้ถือเป็นเกาะอีกแห่งของเกาหลีใต้ที่มีความสวยงามของธรรมชาติอันโดดเด่น และอุดมสมบูรณ์ไปด้วยสัตว์ทะเลมากมาย ไม่ว่าจะเป็นปลาทะเล หอยเป๋าฮื้อ ฯลฯ ทั้งนี้สถานที่ท่องเที่ยวของเกาะซึ่งมีชื่อเสียงก็ได้แก่หาดปะการังซอบินแบคซา ชายหาดปะการังสีขาวละมุนตัดกับน้ำทะเลสีมรกตหนึ่งเดียวของเกาหลี จุดชมวิวยอดเขาอุโด้บง และพิพิธภัณฑ์ประภาคาร เป็นต้น 

เกาะจินโด (Jindo) 



เกาะจินโดเป็นเกาะที่มีชื่อเสียงในเกาหลีใต้ อันเนื่องมาจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอันน่าทึ่งอย่าง Moses Miracle ซึ่งคล้ายๆ กับทะเลแหวกของบ้านเรา แต่ที่เกาหลีปรากฏการณ์นี้จะเกิดขึ้นเพียงปีละครั้งเท่านั้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์หรือเดือนมีนาคม ในช่วงเวลาที่ระดับน้ำทะเลลดลงจนปรากฏเป็นทางเดินกลางทะเลที่มีความกว้าง 35 เมตร และมีความยาวถึง 2.8 กิโลเมตร เป็นทางเชื่อมระหว่างเกาะจินโดและเกาะโมโดที่อยู่ใกล้เคียงเป็นเวลานานถึง 1 ชั่วโมงเต็ม และทุกๆ ครั้งที่เกิดปรากฏการณ์ Moses Miracle ภายในเกาะแห่งนี้จะมีการจัดงานเทศกาลที่ยิ่งใหญ่เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองโอกาสพิเศษนี้ด้วย

เกาะมาราโด (Marado) 



เกาะมาราโดมีรูปร่างคล้ายกับมันเทศ ตั้งอยู่นอกชายฝั่งทางตอนใต้ของประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งถือเป็นจุดใต้สุดของประเทศ โดยอยู่ห่างจากเกาะเจจูลงไปทางใต้ประมาณ 10 กิโลเมตร ทั้งนี้ในอดีตที่ผ่านมาเกาะมาราโดมักจะถูกหมางเมินจากนักท่องเที่ยวอยู่เสมอ อันเนื่องมาจากชายหาดของที่นี่ไม่ได้สวยงามดังเช่นเกาะอื่นๆ แต่อย่างไรก็ดี ปัจจุบันที่นี่กลับกลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมอีกแห่งของเกาหลีไปแล้ว ด้วยทัศนียภาพที่สวยงามแปลกตาของเกาะ อย่างหาดหินที่เต็มไปด้วยหินรูปร่างแปลกตามากมาย อันเนื่องมาจากถูกลมและน้ำทะเลกัดกร่อนมาเป็นเวลานาน นอกจากนี้เกาะมาราโดยังเป็นที่ตั้งของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของเกาหลีใต้อีกด้วย   

วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2557

6 เทคนิคประหยัดรายจ่ายในการท่องเที่ยว... ที่ใครก็สามารถทำได้

หากพูดถึงเรื่องของการ แน่นอนล่ะว่าทุกคนรักการเดินทางท่องเที่ยวและอยากไปเที่ยวบ่อยๆ แต่ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เราไม่สามารถทำได้อย่างที่ใจฝันก็คือเรื่องของการเงิน เพราะการเดินทางในแต่ละครั้งไม่ว่าจะใกล้หรือไกล จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล นั่นจึงทำให้เรื่องท่องเที่ยวสำหรับคนส่วนใหญ่กลายเป็นเรื่องที่ต้องขบคิดอย่างหนักเลยทีเดียว ยิ่งในยุคที่เศรษฐกิจไม่ใคร่จะเฟื่องฟูอย่างในปัจจุบันด้วยแล้ว การท่องเที่ยวจึงถูกมองเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยที่เหมาะสำหรับผู้มีอันจะกินเท่านั้น อย่างไรก็ดี วันนี้มัชรูมทราเวลมี 6 เทคนิค ที่จะช่วยให้นักเดินทางสามารถประหยัดรายจ่ายสำหรับการท่องเที่ยวไม่ว่าจะในประเทศหรือต่างประเทศได้ง่ายๆ ดังต่อไปนี้


1. ค้นหาข้อมูลก่อนออกเดินทาง

เมื่อคุณกำหนดจุดหมายปลายทางที่ต้องการได้แล้ว สิ่งที่จะต้องทำต่อไปก็คือการศึกษาหาข้อมูล ซึ่งไม่ใช่แค่การหาข้อมูลของสถานที่ท่องเที่ยวว่าที่ไหนสวย ที่ไหนน่าไป หรือร้านอาหารร้านไหนอร่อยเท่านั้น แต่ควรหาข้อมูลเกี่ยวกับเอกสารที่จำเป็นต้องใช้ในกรณีท่องเที่ยวยังต่างประเทศด้วย  ซึ่งหากต้องขอวีซ่า ก็ต้องดูด้วยว่าระหว่างการขอผ่านตัวแทนกับยื่นสถานทูตด้วยตนเองนั้นอันไหนจะสะดวกและประหยัดมากกว่ากัน รวมไปถึงศึกษาแผนที่และเส้นทางแต่ละจุดอย่างละเอียด โดยอาจค้นหาด้วยตัวเองจากเว็บบอร์ดสาธารณะ อ่านจากหนังสือคู่มือการท่องเที่ยว หรืออาจจะปรึกษาบริษัททัวร์ก็ได้เช่นเดียวกัน ซึ่งนั่นก็เพื่อให้การท่องเที่ยวของคุณราบรื่น และยังสามารถวางแผนการใช้เงินให้คุ้มค่าได้อีกทางหนึ่งด้วย

2. ประเมินรายจ่ายที่จำเป็นต้องใช้สำหรับการท่องเที่ยวในแต่ละครั้ง

หลังจากได้ข้อมูลตามที่ต้องการแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือวางแผนทางการเงินที่จะต้องใช้จ่ายตลอดทั้งทริป ซึ่งรวมถึงค่าตั๋วเครื่องบินและค่าโรงแรมที่พักด้วย โดยประเมินสิ่งจำเป็นที่ต้องจ่าย แล้วคำนวณค่าใช้จ่ายออกมากเป็นตัวเลขคร่าวๆ เช่น ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่ายานพาหนะ ค่าบัตรเข้าชมการแสดงและกิจกรรมต่างๆ ค่าทิป ค่าของใช้ส่วนตัวเล็กๆ น้อยๆ ค่าของฝากของที่ระลึก เป็นต้น จากนั้นเมื่อถึงเวลาของการเดินทาง ในท่องเที่ยวควรจะติดสมุดบันทึกเล่มเล็กติดตัวไปด้วย เพื่อจดบันทึกสรุปค่าใช้จ่ายจริงในแต่ละวัน ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้คุณสามารถควบคุมการใช้เงินได้ง่ายยิ่งขึ้น

3. พิจารณาเลือกข้อเสนอที่ดีกว่า

ปัจจุบันธุรกิจทางด้านการท่องเที่ยวมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งสิ่งที่ตามมาก็คือการแข่งขันทางการตลาดที่รุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของราคา และโปรโมชั่นต่างๆ ทำให้ลูกค้าที่จะซื้อบริการเป็นผู้ได้เปรียบจากการแข่งขันนี้ และมีอำนาจในการต่อรองเพิ่มสูงขึ้นด้วย ดังนั้นก่อนที่นักท่องเที่ยวจะซื้อบริการ หรือจองห้องพัก ฯลฯ ควรมีการตรวจสอบราคาจากหลายๆ แห่งก่อนเดินทางประมาณ 2-3 เดือนเพื่อเปรียบเทียบกันเสียก่อนตัดสินใจซื้อ ซึ่งข้อเสนอที่ดีกว่าอาจจะไม่ได้หมายถึงเฉพาะราคาที่ถูกกว่าเท่านั้น แต่ต้องมองถึงความคุ้มค่าที่จะได้รับด้วย เช่นโรงแรมบางแห่งอาจจะมีโปรโมชั่นจองห้องพัก2 คืน ฟรี 1 คืน เป็นต้น


4. กำหนดช่วงเวลาและสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับเงินในกระเป๋า

แม้ว่าช่วงไฮซีซั่นหรือช่วงลองวีคเอนจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการท่องเที่ยว แต่ก็เป็นช่วงเวลายอดนิยมที่ผู้คนมากมายเลือกที่จะท่องเที่ยวด้วยเช่นเดียวกัน ทำให้ราคาของสิ่งต่างๆ พุ่งสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งราคาตั๋วเครื่องบิน ที่พัก ค่าทัวร์สำหรับกิจกรรมและการเข้าชมสถานที่ต่างๆ หรือแม้กระทั่งอาหารการกินที่มีราคาแพงกว่าปกติเป็นเท่าตัว ดังนั้นหากหลีกเลี่ยงการท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซั่นแล้วเลือกเดินทางไปในช่วงโลว์ซีซั่น นอกจากจะได้ราคาที่ถูกมากๆ แล้ว ก็ยังจะได้เห็นเสน่ห์ที่แตกต่างของสถานที่นั้นๆ ซึ่งคนทั่วไปไม่มีโอกาสได้เห็นก็เป็นได้ อย่างไรก็ตาม บางสถานที่อาจมีข้อยกเว้นสำหรับการเที่ยวในช่วงโลว์ซีซั่น อย่างเช่นหมู่เกาะต่างๆ ที่หากเป็นนอกฤดูกาลท่องเที่ยวจะเป็นช่วงมรสุม เป็นต้น    

5. ระมัดระวังข้อเสนอที่ราคาถูกจนเหลือเชื่อ

แน่นอนหากพูดถึงของถูกและของฟรี ใครกันล่ะจะไม่ชอบ แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง ของที่มีราคาถูกมากๆ นั้น เปอร์เซ็นต์ที่จะเป็นของดีมีคุณภาพอาจมีความเป็นไปได้ไม่ถึง 10% ด้วยซ้ำ อย่างการจองโรงแรมออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ต่างๆ ซึ่งโรงแรมบางแห่งอาจมีราคาที่ถูกอย่างน่าเหลือเชื่อเมื่อเทียบกับภาพถ่ายที่ถูกอัพโหลดมาเพื่อการโฆษณา จนดึงดูดให้เราต้องกดจองห้องพักอย่างว่องไวโดยไม่แม้แต่จะอ่านคอมเม้นท์รีวิวของลูกค้าที่เคยเข้าไปพัก ก่อนจะรู้ตัวทีหลังว่าภาพห้องพักสุดหรูที่เราเห็นบนเว็บไซต์นั้น แท้จริงคือภาพถ่ายเมื่อประมาณ 20-30 ปีที่แล้ว แต่สภาพปัจจุบันอาจจะแย่จนคุณต้องหิ้วกระเป๋ามองหาที่พักแห่งใหม่แทบจะทันทีก็เป็นได้ นอกจากนี้การหลงใหลกับราคาที่ถูกแสนถูกก็อาจจะทำให้คุณตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพบางประเภทโดยไม่รู้ตัว

6. ปฏิเสธการจ่ายที่เกินจริง

บางสถานที่ที่มีการรวมตัวของนักท่องเที่ยวมากๆ ที่นั่นก็ย่อมตกเป็นเป้าหมายของมิจฉาชีพที่แฝงตัวมาในคราบของผู้ให้บริการเช่นเดียวกัน อย่างสนามบิน สถานีรถไฟ รวมทั้งสถานีขนส่งที่จะมีรถรับจ้างคอยดักรอนักท่องเที่ยวอยู่มากมาย ซึ่งถ้าคุณโชคไม่ดี ก็อาจเจคนขับรถที่โก่งราคาเกินจริงหลายเท่า ทางที่ดีควรตรวจสอบเส้นทางและการเดินทางในแต่ละจุดเสียก่อน หรือหากมีข้อสงสัยควรสอบถามที่เคาน์เตอร์ Information เพื่อขอข้อมูลการเดินทาง รวมถึงรถรับจ้างบางคันอาจได้รับค่าหัวคิวจากร้านอาหารบางแห่งให้พาลูกค้าเข้าร้าน โดยคิดราคาค่าอาหารแพงกว่าปกติเพื่อหักเป็นค่าหัวคิว เป็นต้น