1. ชีวิตที่เรียบง่ายแบบชาวภูฏาน
ภูฏานถือเป็นหนึ่งในสถานที่เพียงไม่กี่แห่งในโลกที่ย้ำเตือนผู้มาเยือนให้ได้รู้ซึ้งถึงความหมายที่แท้จริงของวัฒนธรรมอันสมบูรณ์แบบ แม้ปัจจุบันจะมีฐานะเป็นเมืองท่องเที่ยวอันมีรายได้หลักมาจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติก็ตาม แต่ที่นี่ก็ยังสามารถเก็บรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่หลากหลายตลอดทั้งปีไว้ได้อย่างดีเยี่ยม ที่สังเกตเห็นได้ง่ายๆ ก็ได้แก่การแต่งกายในแบบดั้งเดิมที่พบเห็นได้ทั่วไปตามท้องถนน ภาษาพูด รวมถึงสถาปัตยกรรมของอาคารสิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่เป็นศิลปะซึ่งผสมผสานกับพระพุทธศาสนา จนอาจเรียกได้ว่าผืนแผ่นดินนี้ล้วนมีความข้องเกี่ยวกับศาสนาในทุกๆ ด้านของชีวิต จนกระทั่งปี ค.ศ. 1999 เมื่อความเจริญทางด้านเทคโนโลยีอย่างทีวีและอินเตอร์เน็ตก้าวเข้าสู่ประเทศภูฏาน จึงทำให้ที่นี่เปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็นสมัยใหม่มากขึ้น
2. ความสงบภายใต้ร่มเงาแห่งพุทธศาสนา
เมื่อมาเยือนภูฏาน สถานที่แห่งหนึ่งซึ่งนักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดก็คือวัดรังเสือหรือวัดตักซังภายในเขตเมืองพาโร อันเป็นสถานที่สำคัญและเป็นวัดสำคัญที่สุดอีกแห่งหนึ่งของภูฏานที่ตั้งอยู่ริมหน้าผาที่มีความสูงกว่า 900 เมตร บนเทือกเขาหิมาลายา โดยสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1692 ดังนั้นผู้ที่คิดขึ้นไปเยี่ยมเยือนสถานที่แห่งนี้ อาจต้องใช้กำลังขามากสักหน่อย แต่หากใครไม่ถนัดในการเดินขึ้นเขาแล้วล่ะก็ ที่นี่ก็มีบริการม้าขี่ขึ้นเขาในราคา 500 งุลดรัมต่อเที่ยวและต่อคน (ประมาณ 300 บาท) นอกจากนั้นวัดรังเสือยังได้ชื่อว่าเป็นวัดอันศักดิ์สิทธิ์ที่นักแสวงบุญจากทั่วโลกให้ความเลื่อมใสศรัทธามากที่สุดอีกด้วย
3. รสจัดจ้านคือที่สุดของอาหาร
สำหรับคนภูฏานแล้ว การรับประทานอาหารรสจัดถือเป็นเรื่องปกติของอาหารในแต่ละมื้อของพวกเขา โดยอาหารของที่นี่ทุกเมนูจะค่อนข้างเรียบง่าย และมีส่วนประกอบของข้าว บะหมี่ ข้าวโพด ผัก มันหมู และพริกเป็นหลัก ซึ่งชาวภูฏานถือได้ว่าเป็นผู้ที่ชื่นชอบอาหารรสจัดไม่แตกต่างจากคนไทย หรืออาจจะชื่นชอบรสเผ็ดมากกว่าเราเสียด้วยซ้ำ เพราะพวกเขาไม่ได้ถือว่าพริกเป็นหนึ่งในเครื่องปรุงรสดังเช่นคนไทย แต่พวกเขาถือว่าพริกคือผักอีกหนึ่งชนิดที่จะขาดไม่ได้ในอาหารทุกมื้อ นอกจากนั้นชาวภูฏานยังมีอาหารประจำชาติที่พวกเขาภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งคือเมนู Ema Datshi ที่ประกอบด้วยพริกสดกับซอสเนยต้มกับหัวไช้เท้า มันหมู และหนังหมูนั่นเอง ดังนั้นหากนักท่องเที่ยวท่านใดไม่นิยมอาหารรสจัด ก่อนสั่งอาหารรับประทานทุกครั้งจะต้องไม่ลืมแจ้งให้พนักงานทราบระดับความเผ็ดที่คุณสามารถทานได้เสียก่อน แล้วจะหาว่าเราไม่เตือน!
4. สู่จุดหมายปลายทางที่ไม่คาดคิด
เมืองปูนาคามีสถานะเป็นอดีตเมืองหลวงเก่าของภูฏานที่มีอายุกว่า 300 ปี และมีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ของประเทศแห่งนี้ ตั้งอยู่ในบริเวณที่ราบลุ่มกลางหุบเขาซึ่งห่างจากทิมพูเมืองหลวงในปัจจุบันของภูฏานประมาณ 76 กิโลเมตร โดยเป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยป่าทึบสลับกับต้นสนไซปรัสซึ่งเป็นต้นไม้ประจำชาติ นอกจากนี้ในระหว่างทางยังมีจุดชมวิวที่ชื่อโชดูลา และนาข้าวขั้นบันไดที่สวยงามให้ชื่นชมอีกด้วย ทั้งนี้ปูนาคานอกจากจะมีอดีตเป็นเมืองหลวงเก่าแล้ว ยังเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยสถานที่ที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา รวมถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานของภูฏานอีกมากมาย ที่นักท่องเที่ยวต้องไปเยือนสักครั้ง
5. ความบันเทิงยามค่ำคืนสไตล์ภูฏาน
สำหรับนักท่องราตรีทั้งหลาย แม้ภูฏานไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นประเทศที่เจริญแล้วเช่นเดียวกับประเทศท่องเที่ยวอื่นๆ จากทั่วโลก แต่ที่นี่ก็ยังพอมีสถานบันเทิงยามค่ำคืนให้ได้พอเปิดหูเปิดตาบ้าง ไม่ว่าจะเป็นร้านคาราโอเกะ โต๊ะบิลเลียด ร้านกาแฟ รวมทั้งไนต์คลับสไตล์พื้นบ้านของภูฏานที่มาพร้อมลูกบอลดิสโก้หลากสีและแสงไฟริบหรี่ท่ามกลางการตกแต่งภายในด้วยไม้ในแบบง่ายๆ แต่ประทับใจทุกคนที่มาเยี่ยมเยือน
How to Get There:
การเดินทางสู่ประเทศภูฏาน นักท่องเที่ยวจะต้องใช้บริการบริษัททัวร์เท่านั้น และต้องให้บริษัททัวร์ทำการขอวีซ่าให้ในลักษณะเป็นหมู่คณะ ดังนั้นท่านจึงไม่สามารถเดินทางเข้าไปได้ด้วยตัวเอง ยกเว้นแต่ได้รับการเชื้อเชิญจากชาวภูฏานเป็นลายลักษณ์อักษร นอกจากนั้นในขั้นตอนการขอวีซ่า นักท่องเที่ยวจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมล่วงหน้าในการอาศัยอยู่ในประเทศภูฏานในราคาขั้นต่ำ 200 เหรียญสหรัฐฯ ต่อวัน ซึ่งเป็นราคาที่รวมทุกอย่างไว้พร้อมสรรพ ทั้งค่าที่พัก อาหาร และบริการขนส่ง โดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่มอีกหลังจากที่เดินทางเข้าสู่ภูฏานเรียบร้อยแล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น