สำหรับวัฒนธรรมของญี่ปุ่นแล้ว ฤดูกาลถือว่ามีความสำคัญที่สุด และดอกไม้นานาพรรณก็เป็นเหมือนกระจกที่สะท้อนถึงแต่ละฤดูกาล และบ่งบอกถึงช่วงเวลาที่กำลังมาถึง ซึ่งสอดคล้องกับความนิยมในการชมดอกไม้ของคนญี่ปุ่นที่มีมานาน จนในที่สุดการชมดอกไม้ก็กลายเป็นเทศกาลที่มีชื่อเสียงที่สุดของญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทศกาลชมดอกซากุระ
ฮะนะมิคือประเพณีดั้งเดิมของประเทศญี่ปุ่น หรือที่เรียกง่ายๆ ว่าประเพณีการชมและเพลิดเพลินกับความงามของดอกไม้ ซึ่งเกิดขึ้นมานานกว่าพันปี ซึ่งจะถูกจัดขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ผลิ โดยดอกซากุระจะบานเพียงหนึ่งหรือสองสัปดาห์เท่านั้น นั่นคือในช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายน นอกจากนี้ยังมีธรรมเนียมหนึ่งของฮะนะมิที่เก่าแก่กว่าการชมซากุระ นั่นก็คือการฉลองการบานของดอกอุเมะหรือดอกบ๊วยนั่นเอง
สุดยอดดอกไม้สายพันธุ์ยอดนิยมของญี่ปุ่น
ดอกอุเมะ ดอกท้อ หรือดอกบ๊วย
ดอกอุเมะ ดอกท้อ หรือดอกบ๊วยเป็นดอกไม้ฤดูหนาว ลักษณะมีกลีบดอก 5 กลีบ และมีสีสันที่สดใสและหลากหลาย ตั้งแต่สีชมพู สีขาว สีแดงสด และสีแดงเข้ม มักจะผลิบานในช่วงประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์จนถึงสิ้นเดือนมีนาคม ซึ่งชาวญี่ปุ่นนั้นเชื่อว่าดอกอุเมะเป็นดอกไม้ที่สร้างสีสันแห่งการรอคอยอากาศที่อบอุ่นในช่วงฤดูใบไม้ผลิ จะบานตั้งแต่ช่วงฤดูหนาว เรื่อยไปจนถึงเดือนมีนาคม ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญสำหรับการชมดอกอุเมะก็คือที่โยชิโนะไบโกะ ที่นี่มีต้นบ๊วยสีขาวและสีแดงมากว่า 25,000 ต้น ที่จะผลิดอกบานสะพรั่งพร้อมกันไปทั่วบริเวณ ส่วนการเดินทางก็สะดวกสบาย แค่นั่งรถไฟเจอาร์สายโอเมะไปสิ้นสุดปลายปลายที่สถานีโอเมะ แล้วต่อด้วยรถบัสสายที่มุ่งหน้าไปที่โยชิโนะแล้วลงที่โยชิโนะไบโกะเท่านั้น
ดอกซากุระคือดอกไม้ประจำชาติของญี่ปุ่น ซึ่งมีลักษณะเด่นคือ เมื่อสิ้นฤดูกาลเบ่งบาน ดอกซากุระก็จะพากันร่วงพร้อมกันหมดทั้งต้น จึงเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นทหารและวิถีความเป็นบูชิโดของชนชาติญี่ปุ่นนั่นเอง สำหรับชาวญี่ปุ่นแล้ว ฤดูที่พวกเขาชื่นชอบมากที่สุดก็คือช่วงฤดูที่ดอกซากุระบาน ซึ่งจะเห็นได้จากวัฒนธรรมการชมดอกซากุระของคนที่นี่ที่มีต่อเนื่องยาวนานมากว่า 1,300 ปี โดยทุกปีก่อนถึงช่วงบานของดอกซากุระ กรมอุตุนิยมวิทยาจะออกมาพยากรณ์ให้ทราบล่วงหน้าเสียก่อน เพราะสามารถคลาดเคลื่อนได้ตามสภาพอากาศ เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญของชาวญี่ปุ่น เนื่องจากซากุระถือเป็นดอกไม้ที่ล้ำค่าสำหรับพวกเขา และมันจะเบ่งบานในแต่ละจุดเพียงแค่ประมาณหนึ่งสัปดาห์เท่านั้น
สำหรับช่วงเวลาที่เหมาะสมในการชมดอกซากุระนั้นจะเริ่มตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม ไปจนถึงช่วงต้นเดือนพฤษภาคมของทุกปี ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศด้วย ซึ่งตามปกติแล้วจะเป็นช่วงเวลาที่อากาศกำลังเย็นสบาย ไม่หนาวหรือร้อนจนเกินไป และเนื่องจากประเทศญี่ปุ่นมีลักษณะเป็นแนวตั้ง ดังนั้นการเบ่งบานของดอกซากุระจะเริ่มที่ส่วนล่างของประเทศก่อน ในบริเวณหมู่เกาะโอกินาว่า เรื่อยมาจนถึงโอซาก้า เกียวโต นาโงย่า โตเกียว และฮอกไกโดเป็นพื้นที่สุดท้าย โดยบริเวณที่มีต้นซากุระมากที่สุดก็คือที่ภูเขาโยชิโนะ จังหวัดนารา ที่นี่มีจำนวนของต้นซากุระอยู่มากถึง 30,000 ต้นเลยทีเดียว
ดอกทิวลิปถือเป็นดอกไม้ยอดนิยมอีกชนิดหนึ่งของฤดูใบไม้ผลิ โดยเชื่อกันว่าถิ่นกำเนิดของดอกทิวลิปนั้นมาจากแถบตะวันออกกลางเมื่อพันกว่าปีที่ผ่านมา แล้ว สำหรับประเทศญี่ปุ่นเองก็มีความนิยมดอกไม้ชนิดนี้อยู่ไม่น้อย ดังจะเห็นได้จากหลายๆ สถานที่ในญี่ปุ่นได้มีการปลูกทิปลิปเป็นจำนวนมาก รวมทั้งยังมีเทศกาลชมดอกทิวลิปที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีอีกด้วย อย่างเช่นเทศกาลชมดอกทิวลิปที่เมืองคะมิยูเบทสึ บนเกาะฮอกไกโด ที่นี่เป็นอุทยานที่เต็มไปด้วยดอกทิวลิปสีสันสดใสกว่า 1.2 ล้านต้น จาก 120 สายพันธุ์ ส่วนอีกแห่งที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กันก็คือเทศกาลดอกทิวลิปที่จัดขึ้นที่สวนสนุก Huis Ten Bosch เป็นต้น
ดอกชิบะซากุระหรือพิงค์มอสนั้นเป็นพืชคลุมดิน มีลักษณะเป็นไม้ดอกแบบล้มลุก มีความสูงเต็มที่ประมาณ 1 ฟุต ดอกมีสีขาวและสีชมพูเป็นหลัก ส่วนขอบดอกนั้นมีลักษณะรอยตัดเข้าไปคล้ายกับดอกซากุระ ดังนั้นคนญี่ปุ่นจึงตั้งชื่อดอกไม้ชิดนี้ว่าชิบะซากุระนั่นเอง ส่วนช่วงที่ดอกชิบะซากุระจะเบ่งบานอวดโฉมให้ชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวได้ชื่นชมนั้นอยู่ในช่วงต้นเดือนเมษายนไปจนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม โดยสถานที่อันมีชื่อเสียงสำหรับการชมดอกชิบะซากุระก็คือเมืองทาคิโนะอุเอะ ที่ตั้งอยู่ทางเหนือของเกาะฮอกไกโด ซึ่งเป็นสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ครอบคลุมพื้นที่กว่า 100,000 ตารางเมตร ทั้งภูเขา และน้ำตก ดังนั้นเมื่อถึงช่วงที่ดอกชิบะซากุระเบ่งบาน พื้นที่แห่งนี้ก็จะมีลักษณะคล้ายกับมีใครมาปูพรมสีชมพูเต็มพื้นที่ไปหมด ทั้งทุ่งกว้าง และเนินเขา อันเป็นภาพที่สวยงามดังภาพวาดเลยทีเดียว
ดอกฟูจิหรือดอกวิสทีเรียเป็นไม้เลื้อยตระกูลถั่ว อันมีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปเอเชีย เช่น เกาหลี จีน และญี่ปุ่น มีสายพันธุ์ประมาณ 10 สายพันธุ์ ดอกมีสีขาว ชมพู ม่วงคราม และสีแดง อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมหวานด้วย สำหรับประเทศญี่ปุ่น ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ สิ่งที่นำความภาคภูมิใจและดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติให้ไปเยือนญี่ปุ่นไม่น้อย หนึ่งในนั้นก็คือดอกฟูจิ โดยเฉพาะที่เมืองอาชิคางะบนเกาะฮอนชูนั้นได้รับการยอมรับว่ามีอุโมงค์ดอกฟูจิที่สวยงามที่สุดในโลกอยู่ที่นี่ ซึ่งที่นี่เป็นสวนสาธารณะขนาด 20 เอเคอร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น โดยดอกฟูจิที่นี่จะบานในช่วงระหว่างเดือนเมษายน- เดือนพฤษภาคมของทุกปี นอกจากนั้นก็ยังมีสถานที่อื่นๆ อีกได้แก่วัดโจเซ็นจิหรือวัดฟูจิที่ตั้งอยู่ในจังหวัดฟุกุโอกะ ซึ่งมีต้นฟูจิอันมีอายุเก่าแก่มากกว่า 500 ปี ส่วนในโตเกียวก็มีงานเทศกาลชมดอกฟูจิเช่นกัน โดยจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีที่ศาลเจ้าคะเมโดะเทนจินจะ
ดอกบาระหรือดอกกุหลาบคือดอกไม้ประจำจังหวัดอิบารากิ ประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากคำว่าบาระนั้นเป็นคำที่เชื่อมโยงกับชื่อของจังหวัด ซึ่งก็คืออิบารากินั่นเอง ดังนั้นจังหวัดอิบารากิจึงได้ประกาศให้ดอกกุหลาบเป็นดอกไม้ประจำจังหวัดตั้งปี ค.ศ. 1966 เป็นต้นมา นอกจากนี้ดอกบาระหรือดอกกุหลาบก็ยังเป็นดอกไม้ยอดนิยมของชาวญี่ปุ่นอีกหนึ่งชนิด โดยสถานที่อันมีชื่อเสียงในการชมดอกกุหลาบนั้นได้แก่ที่สวนกุหลาบอิวะมิซาวะ พาร์ค ซึ่งที่มีต้นกุหลาบมากกว่า 22,000 ต้น กว่า 243 สายพันธุ์ บนสวนที่มีขนาดกว้างขวางถึง 40,000 ตารางเมตร โดยในช่วงตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายนจนถึงกลางเดือนตุลาคม ดอกกุหลาบทั้งหมดในสวนก็จะพร้อมใจกันเบ่งบานเต็มพื้นที่ในทุกตารางนิ้วของสวนแห่งนี้
ดอกอาจิไซหรือไฮเดรนเยียเป็นพันธุ์ไม้ที่มีถิ่นกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ที่แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มกว้าง มีดอกหลายสี ทั้งสีขาว ชมพู และสีฟ้าที่เรามักเห็นกันอยู่บ่อยๆ ดังชื่ออาจิไซที่หมายถึงสีฟ้าที่รวมเป็นกระจุกและค่อยๆ เปลี่ยนสีนั่นเอง โดยในประเทศญี่ปุ่นนั้นดอกอาจิไซจะเบ่งบานในช่วงต้นเดือนมิถุนายนจนถึงช่วงกลางเดือนกรกฎาคมอันถือเป็นช่วงฤดูฝน ดังนั้นจึงทำให้อาจิไซกลายเป็นสัญลักษณ์ของฤดูฝนของญี่ปุ่นไปโดยปริยาย
สำหรับสถานที่ชมดอกอาจิไซหรือดอกไฮเดรนเยียในประเทศญี่ปุ่นนั้นก็มีอยู่หลายที่ แต่สถานที่ที่นักท่องเที่ยวรวมทั้งชาวญี่ปุ่นเองให้ความนิยมนั้นก็มีที่วัดมิมูโรโตะจิที่เกียวโต ซึ่งที่นี่มีสวนขนาดพื้นที่ประมาณ 16,500 ตารางเมตร อันเต็มไปด้วยดอกอาจิไซที่บานสะพรั่งกว่าหนึ่งหมื่นต้น ถึง 30 ชนิด เรียงรายไปตามไหล่เขาทั้งสีฟ้า สีม่วง สีขาว และสีชมพู ส่วนอีกสถานที่ก็คือสวนของปราสาทโอซาก้า ซึ่งถึงแม้ที่นี่จะเป็นสวนไม่ใหญ่นัก แต่ก็มีอาจิไซหลายสายพันธุ์ให้ชมโดยมีปราสาทโอซาก้าเป็นฉากหลังที่สวยงาม นอกจากนั้นก็ยังมีอีกหลายๆ ที่อย่างเช่นตามสวนสาธารณะและในวัดวาอารามในเขตคันไซ เป็นต้น รวมทั้งที่สวนนูกาตะเอ็นชิ ที่ดอกอาจิไซจะเริ่มเบ่งบานต้อนรับผู้มาเยือนในช่วงระหว่างกลางเดือนมิถุนายนถึงกลางเดือนกรกฎาคมของทุกปี และวัดยาตะในเขตนาระ ที่คนส่วนใหญ่มักเรียกที่นี่ว่าวัดอาจิไซ เนื่องจากภายในวัดนั้นเต็มไปด้วยดอกอาจิไซหลากสีหลายพันธุ์นั่นเอง
ดอกฮะนะโชบุหรือดอกไอริสญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในดอกไม้ประจำฤดูฝนของญี่ปุ่นที่มีไม่มากนัก มีลักษณะคล้ายกับดอกไอริสทั่วไปหากมองเพียงผิวเผิน แต่จริงๆ แล้วมีความแตกต่างกัน โดยได้รับการพัฒนาสายพันธุ์เมื่อราว 500 ปีก่อนในยุคเอโดะปลูกในที่ชื้นมีน้ำเลี้ยงตลอด เดิมทีเป็นไม้ดอกที่ขึ้นตามป่าเขาหรือลำธาร แต่มาได้รับการพัฒนาพันธุ์เมื่อราว 500 ปีที่แล้ว ในสมัยเอะ จึงทำให้ดอกไอริสของญี่ปุ่นนั้นมีหลายชนิดกว่าประเทศอื่นๆ โดยชาวญี่ปุ่นกล่าวไว้ว่า วันที่ดอกไอริสนั้นจะงามที่สุดก็คือวันหลังจากที่ฝนตกใหม่ๆ เพราะหยดน้ำที่ติดอยู่ปลายกลีบสีสดใสนั้นจะทำให้ไอริสดูสดชื่นมากยิ่งขึ้น
สำหรับเทศกาลชมดอกไอริสนั้นจัดขึ้นที่สวนสาธารณะชิโรคิตะที่ตั้งอยู่บริเวณริมแม่น้ำโยโดะ ณ เมืองโอซาก้า ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนมิถุนายนของทุกปี ซึ่งทุกตารางพื้นที่ทั้งหมดของสวนแห่งนี้จะถูกแต่งแต้มไปด้วยสีสันของดอกไอริส ซึ่งแข่งขันกันเบ่งบานอวดโฉมให้ผู้มาเยือนได้บันทึกความงามกันอย่างเต็มที่ทั้งสีขาว สีม่วง และสีฟ้าสด บนพื้นที่กว่า 1.3 เฮกเตอร์ โดยที่นี่มีไอริสสายพันธุ์ต่างๆ กว่า 250 ชนิด มากว่า 13,000 ต้น
ดอกทานตะวันหรือดอกฮิมาวาริเป็นพืชพื้นเมืองของอเมริกา และแพร่ขยายเข้าไปในทวีปยุโรปเมื่อศตวรรษที่ 16 พร้อมๆ กับน้ำมันดอกทานตะวัน ที่นิยมนำมาเครื่องปรุงอาหารอย่างกว้างขวาง นอกจากนั้นทานตะวันยังมีความสามารถพิเศษในการสกัดสารพิษจากดิน เช่น ตะกั่ว สารหนู และยูเรเนียมอีกด้วย ดังนั้นชาวญี่ปุ่นจึงรณรงค์ให้มีการปลูกทานตะวันกันมากหลังจากเหตุภัยพิบัตินิวเคลียร์ที่ฟุกุชิมะ
สำหรับจุดชมดอกทานตะวันที่ญี่ปุ่นนั้นก็มีอยู่ด้วยกันหลายที่ ซึ่งก็ได้แก่ ทุ่งทานตะวันเมืองซามะ จังหวัดคานากาวะ ที่ในช่วงเดือนกรกฎาคม ถึงสิงหาคมจะมีการจัดงานเทศกาลชมดอกทานตะวันด้วย ที่นี่มีทานตะวันกว่า 500,000 ต้น บานสะพรั่งเต็มพื้นที่ทั่วทุกมุม และอีกแห่งที่ถือว่ามีชื่อเสียงและใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นก็คือ ทุ่งดอกทานตะวันแห่งเมืองโฮคุเรียว จังหวัดฮอกไกโด ดอกทานตะวันของที่นี่มีมากกว่า 1.3 ล้านต้น ในพื้นที่ขนาด 231,000 ตารางเมตร ซึ่งในช่วงเดือนกรกฎาคม ถึงสิงหาคม ทั่วทุกพื้นที่จะเต็มไปด้วยสีเหลืองสว่างใสของดอกทานตะวันที่แข่งกันผลิดอกเบ่งบานอย่างเต็มที่
ลาเวนเดอร์เป็นดอกไม้สีม่วง ที่มีดอกเล็กๆ จำนวนมากเรียงกันเป็นวงรอบก้าน ทั้งยังเป็นพืชพื้นเมืองของอินเดีย ทางตะวันตกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และทางตอนใต้ของทวีปยุโรป เมื่อสองพันปีก่อนชาวอียีปต์ ชาวโพลินีเซียน และชาวอาหรับมักใช้ลาเวนเดอร์มาสกัดเป็นน้ำหอม และยารักษาโรค นอกจากนี้ในการทำมัมมี่ของชาวอียิปต์ ดอกลาเวนเดอร์ยังเป็นส่วนผสมที่สำคัญด้วย
ในประเทศญี่ปุ่น หากพูดถึงดอกลาเวนเดอร์ ต้องไปที่เมืองฟุราโนะ ฮอกไกโด ซึ่งที่นี่ในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม ดอกลาเวนเดอร์จะบานสะพรั่งเต็มเนินเขาสุดลูกหูลูกตา เหมือนประหนึ่งปูด้วยพรมสีม่วงสดละลานตา นักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติจึงมักนิยมมาที่กันเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นอีกที่ที่อยากแนะนำก็คือเมืองบิเอะซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองฟุราโนะมากนัก
ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงของญี่ปุ่นนั้น สิ่งที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดก็คือการไปชมใบไม้เปลี่ยนสี ซึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นนั้นสามารถหาชมได้ง่ายมากๆ ทั่วทุกเมืองของประเทศ แต่หากนักท่องเที่ยวมีโอกาสได้ไปชมใบไม้เปลี่ยนสีในสถานที่ที่เต็มไปด้วยต้นไม้อย่างกลางภูเขา ก็จะทำให้ได้รับความประทับใจมากยิ่งขึ้นไปอีก โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศญี่ปุ่นหรือในเขตโทโฮคุ และเส้นทาง Alpine Route ในเขตจูบุ อันมีธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ยิ่งน่าไปเที่ยวชมเป็นอย่างยิ่ง ส่วนในแถบเกียวโต ฮิโรชิม่า หรือในเขตคิวชู ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการชมใบไม้เปลี่ยนสีก็คือในช่วยกลางถึงปลายเดือนพฤศจิกายน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น