Menu Blog

วันจันทร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

อินเดีย โฟโต้ทัวร์ ทริปถ่ายรูปเจ๋งๆ ไปเองก็ได้


"เคยไหมคะ อยากออกเดินทาง อยากไปเที่ยว อยากถ่ายรูปสวยๆ ในมุมเจ๋งๆ ที่ไม่ซ้ำกับใครๆ แต่ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี โดยมีเงื่อนว่าจะเป็นที่ไหนก็ได้ ที่ไม่ต้องแพงมาก สามารถเดินทางไปเองได้ ที่สำคัญคือต้องมีเอกลักษณ์ที่มองเพียงครั้งเดียวก็รู้แล้วว่าคือที่ไหนในโลกใบนี้"

อินเดียหนึ่งในประเทศที่มีชื่อเสียงในเรื่องของความมีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร ไม่ว่าจะเป็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ อาหาร ความสวยงามของทัศนียภาพ และสถาปัตยกรรมอันล้ำค่า และถ้าคุณไม่แคร์ว่าที่นี่มีสถิติประชากรมากเป็นอันดับสองของโลก ที่ค่อนข้างแออัดและวุ่นวายแล้วล่ะก็ การมาเยือนอินเดียเพื่อเก็บภาพถ่ายสวยๆ คือไอเดียที่ไม่เลว มัชรูมทราเวลจึงได้รวบรวม 10 เมืองสวยที่สุดของอินเดียมาเพื่อนักท่องเที่ยวที่รักการถ่ายภาพโดยเฉพาะ


อินเดีย โฟโต้ทัวร์ ทริปถ่ายรูปเจ๋งๆ ไปเองก็ได้

ชัยปุระ (Jaipur)



ชัยปุระเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั่วไปในฐานะของ “เมืองสีชมพู” เนื่องจากอาคารที่สวยงามส่วนใหญ่ภายในเมืองแห่งนี้ที่แต่งแต้มด้วยสีชมพู โดยความตั้งใจที่จะสะท้อนให้เห็นถึงสถาปัตยกรรมจากหินทรายสีแดงที่สวยงาม นอกจากนี้ชัยปุระยังเป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนสามเหลี่ยมทองคำของการท่องเที่ยวแห่งอินเดีย ร่วมกับเมืองอัคระและเดลี ที่ได้ชื่อว่ามีชื่อเสียงและดึงดูนักท่องเที่ยวให้มาเยือนมากที่สุดในรัฐราชสถาน ทั้งนี้จุดถ่ายภาพที่ได้รับความนิยมมากที่สุดนั้นได้แก่ พระราชวังซิตี้พาเลส ป้อมนหาร์การห์ และวัดต่างๆ อีกเป็นจำนวนมาก

 พาราณสี (Varanasi)


พาราณสีเป็นหนึ่งในเมืองประวัติศาสตร์ที่สวยที่สุดทางภาคเหนือของอินเดีย และที่นี่ยังได้ชื่อว่าเป็นสถานที่ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกซึ่งยังมีคนอาศัยอยู่จนถึงปัจจุบัน อีกทั้งยังเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งของชาวฮินดูและผู้ที่นับถือศาสนาเชน นอกจากนี้มันยังเป็นถิ่นฐานของผู้คนหลากหลายวรรณะและอาชีพ โดยมีสิ่งที่ยึดเหนี่ยวให้พวกเขาสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุขก็คือแม่น้ำคงคาอันศักดิ์สิทธิ์ ที่นักท่องเที่ยวจะสามารถเก็บภาพสวยๆ ของแม่น้ำสายนี้ท่ามกลางฉากหลังของวัดที่สวยงาม และภาพของดวงอาทิตย์ที่กำลังโผล่พ้นแม่น้ำในตอนเช้า

อุทัยปุระ (Udaipur)



เมืองที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเรื่องความสวยงามของทะเลสาบ ป้อมปราการ วัดวาอาราม และพระราชวัง อุทัยปุระเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในรัฐราชสถาน โดยนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาเยือนมักจะเป็นคู่รัก เพราะที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยฉากหลังอันโรแมนติก นั่นจึงทำให้ที่นี่ปรากฏตัวในภาพยนตร์อยู่บ่อยครั้ง นอกจากนั้นอุทัยปุระยังเป็นเมืองที่มีสีสันอันหลากหลาย ทั้งสีสันสดใสของเสื้อผ้า สีสันของงานแสดงสินค้าที่หลากหลาย รวมทั้งสีสันของงานเทศกาลที่เกิดขึ้นตลอดทั้งปี
บังกาลอร์ (Bangalore)



บังกาลอร์ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในอินเดีย ซึ่งในอดีตที่นี่ถูกเรียกว่าสรวงสวรรค์จำลอง และเมืองสวนแห่งอินเดีย ด้วยพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ที่มีอยู่ทั่วเมือง แต่ปัจจุบันด้วยการพัฒนาสู่ความเป็นสากลที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว จึงส่งผลให้บังกาลอร์มีพื้นที่สีเขียวลดน้อยลงกว่าแต่ก่อน แต่ก็ยังคงพอหลงเหลือให้ที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่สวยที่สุดในประเทศอินเดีย นอกจากนี้บังกาลอร์ยังเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมไอทีซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่า หุบเขาซิลิกอนแห่งอินเดีย

เดลี (Delhi)


 

มหานครที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของอินเดียที่ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ นิวเดลี เมืองหลวงของอินเดียอันเป็นที่อยู่ของฝ่ายบริหารบ้านเมือง ฝ่ายตุลาการ และสภานิติบัญญัติ และส่วนของเดลีเก่าที่เป็นศูนย์กลางทางศิลปะและวัฒนธรรม นอกจากนี้เดลียังเป็นศูนย์รวมของกิจกรรมมากมาย ทั้งยังเป็นศูนย์กลางสำหรับแฟชั่น อาหาร และสถานบันเทิงยามค่ำคืน อย่างไรก็ดี จุดที่ดึงดูดความสนใจให้นักท่องเที่ยวมาเยือนเดลีมากที่สุดกลับเป็นความสวยงามของวัด มัสยิด รวมทั้งป้อมปราการ โดยเฉพาะป้อมแดง มัสยิดจามา และวัดดอกบัว ที่ไม่ว่าจะยกกล้องขึ้นถ่ายตอนไหนก็สง่างามเสมอ

เจนไน (Chennai)



เจนไนเป็นเมืองสวยงามที่ทำหน้าที่เป็นประตูสู่ภาคใต้ของประเทศอินเดีย ซึ่งมีวัฒนธรรมที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับประเพณีของชาวทมิฬซึ่งเป็นชนพื้นเมืองในพื้นที่ ทั้งงานเฉลิมฉลอง ประติมากรรม ดนตรี ศิลปะการฟ้อนรำ และเครื่องแต่งกาย โดยเจนไนเป็นเมืองที่ผสมผสานกันระหว่างความเป็นเมืองเก่าและอินเดียสมัยใหม่ ทั้งภูมิทัศน์และสถาปัตยกรรม ดังเช่นวัดโบราณที่สวยงามซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางตึกสูงสไตล์โมเดิร์น

ไมซอร์ (Mysore)
ไมซอร์ตั้งอยู่ในภาคใต้ของอินเดียที่มีการวางผังเมืองดีที่สุดในประเทศอินเดีย ทั้งยังเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมอันบริสุทธิ์สมบูรณ์เป็นอันดับสองของรัฐกรณาฏกะ ชาวเมืองต่างอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข และด้วยประวัติศาสตร์ที่มีมานับพันปีของไมซอร์ จึงทำให้ปัจจุบันเมืองมีการผสมผสานระหว่างความเก่าแก่และเมืองสมัยใหม่อย่างลงตัว นอกจากนั้นไมซอร์ยังมีชื่อเสียงมากที่สุดสำหรับการเป็นศูนย์โยคะที่ดีที่สุด รวมถึงเป็นที่ตั้งของโรงเรียนสอนโยคะที่มีชื่อเสียงมากที่สุดอีกด้วย ส่วนในเรื่องของการท่องเที่ยว ไมซอร์สวยสง่าด้วยโบสถ์ของศาสนาคริสต์ พระราชวัง และวัดฮินดูที่กระจายอยู่ตามจุดสำคัญของเมือง



อัคระ (Agra)
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือเมืองที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเยือนมากที่สุดในอินเดีย อัคระคือที่ตั้งของสัญลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมที่สวยงามที่สุด รวมถึงยังเป็นสัญลักษณ์ของความรักที่ยิ่งใหญ่ นั่นก็คือทัชมาฮาล สุสานหินอ่อนที่สวยงามด้วยโดมสีขาว และยังมีฐานะเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก และแน่นอนค่ะว่าอินเดียโฟโต้ทัวร์ของเราจะไม่สมบูรณ์เลยหากขาดสถานที่สำคัญแห่งนี้ไป นอกจากนั้นอัคระยังเป็นที่ตั้งของมรดกโลกที่สำคัญอีก 2 แห่ง นั่นก็คือ ป้อมอัคราและ ฟเตหปุระสีกรี ที่คุ้มค่าแก่การไปเยือนเช่นกัน



โกลกาตา (Kolkata)



นี่คือเมืองที่ทั้งมีเสน่ห์และสร้างความน่าตกใจในขณะเดียวกันสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือน โกลกาตาเป็นเมืองที่อยู่ในประเภทที่ว่าถ้าไม่รักก็เกลียดไปเลย ด้วยปัญหาความยากจน ปัญหามลภาวะ และปัญหาการจราจรติดขัดภายในเมือง แต่ในขณะเดียวกันที่นี่ก็มีความสวยงามที่ยังคงหลงเหลือเป็นมรดกมาจนถึงปัจจุบัน จากการเคยเป็นอดีตเมืองหลวงของอินเดียในสมัยการปกครองของอังกฤษนั่นเอง

มุมไบ (Mumbai)

ด้วยเพราะมีพื้นที่ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเล มุมไบจึงเป็นเมืองที่มีความเป็นสากลมากที่สุดของประเทศอินเดียที่รู้จักกันเมื่อก่อนในชื่อบอมเบย์ นอกจากนั้นที่นี่ยังเป็นเมืองท่าที่สำคัญและใหญ่ที่สุดในประเทศ ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่ามุมไบคือหัวใจสำคัญในเชิงพาณิชย์ของอินเดีย ซึ่งเห็นได้เด่นชัดที่สุดก็คืออุตสาหกรรมภาพยนตร์ของอินเดียอย่างบอลลีวูด นอกจากนั้นมุมไบยังเป็นเมืองที่สวยงาม ซึ่งมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจไม่มีที่สิ้นสุด โดยจุดท่องเที่ยวสำคัญก็คือประตูชัย (Gateway of India) ที่สร้างขึ้นในปี 1911 ที่เป็นดังสัญลักษณ์ของเมืองมุมไบในปัจจุบัน


ว้าวว...แต่ละเมืองทั้งสวยและมีเอกลักษณ์ทั้งนั้นเลยนะคะ น่าไปมั่กมาก> < คุณเองก็สามารถเดินทางไปเก็บภาพสถาปัตยกรรมสวยๆเหล่านี้ได้ รับรองว่าคุณจะได้รูปสวยๆมาอวดเพื่อนๆกันอย่างมากมายแน่นอน หากคุณสนใจก็ลองแวะเข้ามาดูที่ MushroomTravel/India  กันก่อนก็ได้นะคะ เผื่อไว้เป็นตัวเลือกในการพิจารณาค่ะ

วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

เที่ยวคนเดียว ..ให้ปลอดภัยสไตล์หญิง!!

วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

เที่ยวคนเดียว แต่รูปเดี่ยวเยอะมาก (รีวิวญี่ปุ่น+วิธีเซลฟี่)



::: เที่ยวคนเดียว แต่รูปเดี่ยวเยอะมากกกก :::
รีวิวญี่ปุ่น 5 วัน พร้อมวิธีเซลฟี่แบบไม่มีไม้สอยมะม่วง

สวัสดีค่ะทุกคน บีเพิ่งกลับจากญี่ปุ่น ไป เที่ยวคนเดียว มาค่ะ ชะนีโสดๆใสๆ แบคแพคลุยเดี่ยวเที่ยวเจแปน จริงๆก็ไม่แปลกอะไรเนาะ ตอนแรกก็คิดว่าคงไม่รีวิวดีกว่า เพราะแพลนเที่ยวเราก็เบๆ พื้นๆ ฟลอร์ๆ เหมือนๆคนอื่น แถมงบก็ไม่ได้ถูกเว่อร์ แบบที่รีวิวแล้วจะ inspire ใครๆได้ แต่เพื่อนบิ้วค่า เพราะนางเห็นบีเซลฟี่ตัวเองแล้วคนถามเพียบเลย ว่า “ไป เที่ยวคนเดียว จริงหรา” “ถ่ายยังไงอ่ะ” เต็มไปหมด

ก็เลยคิดว่าเคล็ดลับของเรา อาจจะมีประโยชน์กับคนอื่นได้บ้าง

เพราะเป็นการเซลฟี่ที่ไม่ต้องพกขาตั้งกล้อง, ไม้เซลฟี่, สายลั่นชัตเตอร์ หรือ Go pro ใดๆทั้งสิ้น แอบหวังว่า บุญกุศลครั้งนี้อาจทำให้ทริปหน้ามีคนไปถ่ายรูปให้เรากับเค้าสักที
เกริ่นยาว เมื่อยมือ เริ่มเถอะ !
บีขอเริ่มรีวิวการท่องเที่ยวอันแสนสนุกสนาน คุ้มค่า กับการไปเที่ยวช่วงสงกรานต์แบบไม่ต้องลาเพิ่มกันก่อนนะคะ แล้วค่อยเฉลยว่ารูปในรีวิว มีเคล็บลับการถ่ายยังไง แบบไม่ใช้ไม้มะม่วง
เริ่มจากสายการบินค่ะ บีเลือกเวียดนามแอร์ไลน์ เพราะราคาถูกค่า ไป-กลับ หมื่นหก เท่านั้น จองก่อนสงกรานต์เดือนนึง แล้วไปช่วงสงกรานต์พอดีเด๊ะ ได้ราคานี้ก็บุญมาก เพราะนางเป็นสายการบิน full service เครื่องใหญ่ อาหารการกินครบทุกไฟล์ท อร่อยและเยอะ (สำคัญตรงเยอะ)
แต่ถึงอาหารจะเยอะยังไงก็ต้องแลกด้วยการทรานสิทเครื่องที่เวียดนาม ซึ่งจริงๆแล้วการทรานสิทที่เวียดนามนั้นง่ายมากกก เพราะสนามบินเค้าเล็ก เดินไม่ถึง 20 ก้าวก็เปลี่ยนเครื่องได้แล้ว (อันนี้เว่อนิดหน่อย) แต่จริงๆคือเวลาชั่วโมงนึง ก็ทรานสิทที่เวียดนามได้เหลือๆ แต่ของบีเกือบ 9 ชั่วโมงค่า!!!
ถึงเวียดนามสามทุ่มครึ่ง และเครื่องออกอีกที 
6 โมงเช้า ก็เลยจองห้องพักที่เวียดนามเพื่อนอนเอาแรง 1 คืน
การออกจากสนามบินเวลาเครื่องทรานสิทก็ไม่ได้ยากอะไรค่ะ เดินออกจาก ตม.มาตามปกติ ขากลับมาถ้ายังไม่มีบรอดดิ้งพาสก็ไปเช็คอินที่เค้าเตอร์ตามปกติ ถ้ามีบรอดดิ้งพาสแล้วก็เดินเข้า gate ไปได้เลย (ขามา ที่สุวรรณภูมิให้บอร์ดดิ้งพาสมา 2 ไฟล์ทเลย แต่ขากลับจากนาริตะ เค้าให้บรอดดิ้งพาสมาแค่ไฟล์ทเดียว)
ที่เวียดนาม บีพักที่ MiLinh Hotel ค่ะ เพราะทั้ง agoda และใน pantip บอกว่าใกล้สนามบินสุดแล้ว แต่เฮ้ยยย เอาจริงๆมันไม่ใกล้ขนาดนั้นนะ (คือในใจคิดว่าแบบ Amari Hotel กับ ดอนเมืองแอร์พอร์ทงี้) แต่ความจริงแล้ว ก็เดินเหนื่อยอยู่ แถมเวลาสามทุ่มครึ่งด้วยแล้ว และเพิ่งอ่านกระทู้โดนปล้นที่เวียดนามมาอี้กกก เดินแบบระแวงตลอดทาง Taxi เรียกก็ไม่ยอมขึ้น บอกว่า “ใกล้ๆ ตูเดินได้เว้ย ตูรู้” ทำหน้าเซลฟ์ๆ ไม่กลัวใส่เค้า แต่ในใจคือป๊อดมาก 55+
นี่คือทางเดินไปโรงแรม มืดๆ เปลี่ยวๆ (และนี่คือจุดที่สว่างสุดแล้ว คือแถวๆหน้าโรงแรม)
ผ่านไปด้วยดีนะ ว่าแต่…..จะถึงญี่ปุ่นมั้ย…พูด!

ว่าแล้วก็ขอตัดภาพมาที่ญี่ปุ่นเลยนะฮะ มาถึงนาริตะแอร์พอร์ต บีก็ซื้อตั๋ว NEX (Narita Express) ไปที่ชินจูกุเพื่อ Check-in เข้าที่ Apartment Hotel Shinjuku เลย ทริปนี้บีไม่ได้ซื้อ JR pass อะไรทั้งนั้นค่ะ เพราะที่พักอยู่ใกล้สถานี Shinjuku samchrome มากกว่า ก็เลยซื้อตั๋วเป็นเที่ยว ๆ สะดวกดี ไม่ต้องบังคับตัวเองให้นั่งแต่ JR


ที่พักน่ารักมากกกกกกกกกกกกก ฮิปสเตอร์น่าจะชอบ เก๋ไก๋ตั้งแต่ข้างหน้า ข้างใน ยันห้องพัก ห้องบีเป็น Single Bed แต่ไม่แคบมาก ราคาวันละ 1,900 บาทค่ะ ถือว่าไม่แพง ถ้าเทียบกับทำเลที่ใกล้รถไฟฟ้าสุดๆ พักที่นี่ไม่ต้องพกกุญแจค่ะ ใช้รหัสในการเข้าโรงแรม และเข้าห้อง สะดวกสุดๆ เลิฟมากก มาอีกจะพักที่นี่อีก อ้อ..แต่ข้อเสียข้อเดียวคือไม่มีลิฟต์ ดังนั้น เรื่องกระเป๋า Reception จะแบกขึ้นไปให้เฉพาะขามา แต่ขากลับหิ้วลงเองนะจ้ะ


เช็คอิน ชื่นชมห้องพัก และลง IG รัวๆแล้ว ก็เดินทางต่อไปที่ย่าน Koenji และ Destination หลักของบีก็คือร้านโดนัทมุ้งมิ้งที่ชื่อว่า Nature Doughnuts Floresta การเดินทางก็ง่ายมาก ขึ้นจาก JR Koenji ก็เปิด Google Maps และเดินตาม Maps ไปโลด (ง่ายมากจริงๆ เห็นม่ะ)
จริงๆตั้งใจจะกินโดนัทแมวเหมียวแต่ตอนที่ไป มีตัวแรคคูนก็เลย โอเคอ่ะ ตามนั้น ที่ร้านมีทั้งโต๊ะ In-Door และ Out-Door วันนั้นอากาศแจ่มใส ก็เลยไม่มีใครนั้ง In-door เลย บีก็เลยเข้าไปนั่ง ตั้งกล้องถ่ายตัวเอง เพลินเลยข่า 55


 นี่คือย่าน Koenji พูดเลยว่า ดีงามค่ะ มีของมุ้งมิ้งน่ารักตลอดทาง คนไม่พลุกพล่านมาก 
แถมอยู่ไม่ไกลจากชินจุกุด้วย

พอกินของหวานเสร็จก็ได้เวลาของคาว (เฮ้ยยย..ใช่ป่ะว้า) บีเลยนั่งรถไฟฟ้าไปกินของคาวที่ Moomin café สาขา Tokyo Dome City Laqua โดยการลงรถไฟฟ้าสถานี Suidobashi แล้วก็ Google Maps เหมือนเดิม (ฮ่าๆ ไม่ช่วยอะไรเลย)
ไปถึงก็มีคนรอคิวอยู่ 3-4 คิว ก็อดทนหน่อยนะ นั่งเลือกเมนูไป บีเลือกเมนูที่เป็นข้าวสตูเนื้อ และมักกะโรนีซุปข้าวโพด
เฮ้ยยย ดีงามมากกกกก หน้าตาก็น่ารัก แถมอร่อยด้วยอ่ะ ปลาบปลื้มสุดๆ
ดูมักกะโรนีสิ ยังเป็นรูปมุมินเลย ดีเทลไป๊..!!จริงๆวันที่ไป เค้ามีบุฟเฟ่ขนมปังให้ด้วย กินไม่อั้นค่ะ แต่บีไม่กินค่ะ 
เก็บท้องไว้กินเนื้อกินหนังต่อดีกว่า
   รูปนี้พนักงานถ่ายให้นะคะ

เจ้าตุ๊กตานี่ก็เหมือนกัน พนักงานเค้าจะ rotate ตุ๊กตา เพื่อผดุงความยุติธรรมให้ทุกโต๊ะอย่างเท่าเทียมกัน เมื่อเค้าเห็นว่า ตุ๊กตามันอยู่ที่โต๊ะนี่นานแล้ว เค้าก็ยกมาตั้งไว้ที่โต๊ะเราบ้าง เมื่อเค้ายกมา ก็เลยให้เค้าถ่ายรูปคู่ให้เลย สบายใจทั้ง 2 ฝ่าย (แหะๆ)

คืนนี้มีนัดค่ะ มีเพื่อนเพิ่งบินมาถึงที่ชิบุย่า ก็เลยนัดกินมื้อค่ำกันที่ร้าน Gyubei แต่ให้ตายเหอะ หาไม่เจอ…..เดินข้ามแยกชิบุย่ามาห้า หก รอบแล้ว ถามคนนั้นคนนั้นให้มาทางนี้ ถาม Google Maps กูเกิ้ลบอกให้มาทางนั้น วู้…เดินจนสี่ทุ่มแล้วค่า ยังไม่ได้กินเลย เลยเอาร้านง่ายๆแถวนั้นแหละ

แต่…ปรากฎว่าดีงามมากกกก อีกแล้วข่า 
จนค้นพบว่าจริงๆญี่ปุ่นเนี่ยเข้าร้านไหนก็ดีงามไปหมดแหละ!!


เชฟเค้าพิถีพิถัน เค้าใส่ใจกับอาหารของเค้าจริงๆ เนื้อเนี่ย…ละลายในปาก ..สั่งเบิ้ลเลยค่าาา


 
เมื่อกินเสร็จ ก็เม้าท์มอย ตามประสาบี ก่อนจะจับรถไฟฟ้าเที่ยวสุดท้ายกลับที่พัก และวันรุ่งขึ้นก็ตื่นอย่างไว ซื้อตั๋วรสบัสไป Kawaguchiko เพราะเข้า Google นางบอกว่า วันรุ่งขึ้น ที่ Kawaguchi-ko จะอากาศดี มีแดด ดังนั้น Next Station และเป็น Highlight ของเราคือ Fujisan ค่า บีจะไปนอนพักที่นั่น 2 คืน วิธีที่สะดวกที่สุด โดยเฉพาะถ้าเรามีกระเป๋าเดินทาง คือ by bus ค่ะ 
บีซื่อตั๋ว KEIO Shinjuku Highway Bus ราคาเที่ยวละ 1,750 เยน ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงก็ถึงแล้วค่า
และระหว่างทาง ก็เริ่มเห็นฟูจิซัง กับฟ้าเคลียร์ๆ ก็เลยถ่ายรูปรัวๆ
เซลฟี่ที่หน้าสถานี Kawaguchi-ko นิดนึง อย่าถามนะคะ ว่าใส่แขนกุดหนาวมั้ย เพราะคนญี่ปุ่นถามกันค่อนโตเกียวแล้วค่ะ  
แต่งานคอสตูมต้องมาค่ะ ยอม 
#ฮ้าดดดชิ้ววว

ที่ Kawaguchiko คนไทยเยอะมากกกกกกกกกกกกกค่ะ เรียกว่าประชากร 80% ที่อยู่ที่นี่เป็นคนไทยก็ว่าได้ 
บีเอากระเป๋าไปเก็บที่โรงแรม Plaza Inn Kawaguchi-ko ซึ่งอยู่ใกล้สถานี kawaguchi-ko มว๊าก ๆ แล้วก็ซื้อตั๋ว Sightseeing Bus ซึ่งเป็นรสเวียนสายแดงไปเที่ยวรอบ Kawaguchi Lake ส่วนสายสีเขียว จะไปรอบ Saiko Lake ซึ่งบีไปทั้งสองสายค่ะ ติดตามกันนะคะ ราคาของ Sightseeing Bus คือ 1,200 yen นั่งแบบไม่จำกัดได้ 2 วันเต็มๆ เนื่องจากต้องแสดงบัตรตอนลงบัส ดังนั้นเก็บให้ดีห้ามหายนะ ห้ามทิ้งนะจ้ะเด็กๆ

วันแรกบีเลือกไป red-line รอบ Kawaguchi-ko ก่อนเนาะ 
Bus stop แรกที่แนะนำ และบีลง คือ no.18 ป้ายนี้ที่เด่นคือต้นซากุระที่เรียงรายอยู่ริมทาง
เต็มไปหมด ตั้งกล้องถ่ายรัวๆ
28 29 30 31
Bus stop ต่อไป no.20 เป็นที่ตั้งของโรงแรมสุดฮิตของคนไทย Sunnide resort ซึ่งเราก็ได้เซลฟี่เปิดกระทู้มา 1 รูป ถ่ายเสร็จก็เซลฟี่ตัวเอง ตอนแต่งรูปอีกสัก 1 ภาพ
32Bus stop สุดท้าย ท้ายสุดของบัสสายสีแดง no.22 ตรงนี้มีร้านขายของที่ระลึก ร้านกาแฟ นั่งถ่ายรูปและทานกาแฟได้ชิวๆเลยค่ะ แล้วก็ได้เซลฟี่เก๋ๆมานึงภาพ “คนอะไร ถ่ายรูปตัวเอง ตอนกำลังถ่ายรูปได้ ซับซ้อนยิ่งนัก”
33ตรงนี้เจอคนไทยค่ะ กำลังเซลฟี่กันสามคนพ่อแม่ลูก ก็เลยอาสาไปช่วยถ่ายให้ หวังใจว่าเค้าจะช่วยถ่ายรูปเรากลับแต่ไม่ค่ะขอบคุณแล้วก็จากไป #จ๋อยนิดนึง
ต่างกับคนต่างชาตินะคะ เห็นเราวิ่งตั้งกล้องไปมา ก็มาถามว่า อยากให้เค้าช่วยถ่ายภาพให้มั้ย อันนี้ฝากไว้ให้คิดแล้วกันโน๊ะ
ขานั่งบัสกลับ บีแวะป้ายที่เป็น ropeway แต่คิว ropeway ยาวมากกกกกก (มารู้ทีหลังว่าเปิดให้บริการวันนี้วันสุดท้ายก่อนปิดปรับปรุงหลายหลายสัปดาห์) ก็เลยแวะหาอะไรทานที่ Lake Side Coffee & Restaurant หิวค่ะ สั่งเยอะรัวๆ อร่อยเหมือนเดิมค่ะ
34 35
เวลาที่นี่ผ่านไปช้ามากกก ใช้ชีวิต slow life ไปตั้งนาน เพิ่งบ่ายสามเอง แต่เวลานี้ก็เป็นเวลาเช็คอินที่ Plaza Inn Kawaguchi-ko พอดี ห้องที่ได้ โอ้ยยย ดีมากกค่ะ เปิดหน้าต่างเห็นคุณฟูจิซังใหญ่โต ยิ้มให้เลย
Single bed ห้องน้ำในตัว คืนละ 1,200 บาท วิวนี้ ตายๆๆๆๆค่ะ ตายไปเลย อยากจะลงไปให้เงินเพิ่มกับคุณลุง Reception เลยทีเดียว
36 37
หลังจากดื่มด่ำกับการเซลฟี่ตัวเองริมหน้าต่าง ก็นั่งเล่น นอนเล่นในห้องสักพัก แล้วก็ออกผจญภัยต่อค่ะคราวนี้เรานั่ง Fujikyu Railway ไปสถานี Shimoyo shida กันค่ะ มันคือทางเดียวกับที่ไปสวนสนุก Fuji-Q นั่นแหละค่ะ แต่เลยไปอีกหน่อย เป็นที่ที่คนชอบไปถ่ายรูป Fujisan กับศาลเจ้า Arakura sengen น่านแหละค่ะ
38 39
แต่บีไม่ได้ขึ้นไปสูงสุดนะ ยอมแพ้บันได 400 ขั้นจริงๆค่ะ เอาวิวแค่ตรงเสาโทริอิ ก็พอค่ะ แค่นี้ก็สวยมากแล้ว ตรงนี้ก็เป็นจุดที่เจอคนไทยเพียบค่ะ แลกกันถ่ายรูปไปมา แต่สรุปว่าเราไม่ชอบรูปที่คนอื่นถ่ายให้อยู่ดี ขอเซลฟี่ตัวเองเหมือนเดิม ฮ่าๆๆ
40บางจุดบีก็อยากได้รูปตัวเองกับวิวนี้นะ แต่เมื่อไม่มีที่ให้ตั้งกล้อง ถ่ายคนอื่นบ้างก็ได้ค่ะ
41 42
ทางเดินจากศาลเจ้า ไปที่สถานี เราต้องผ่านบ้านเรือนที่อยู่แถวนั้น บีชิวมากกกค่ะที่นี่ พอคนเดินไปหมดแล้ว บีก็เซลฟี่รัวๆ
พอมีฝรั่งเดินผ่านมา ถามว่าให้ถ่ายรูปให้มั้ย ก็ยังบอกไปว่า It’s ok. I can do it. ค่ะ
ถ้ามีบ้านอยู่แถวนี้ คือแฮปปี้มาก ปลูกผักปลูกหญ้ากินก็มีความสุขแล้วอ่ะค่ะ
43 44
45
กลับมาจากท่องเที่ยวทั้งวัน ก็แอบหิว หยิบขนมที่คุณน้องสุดเลิฟแอบใส่กระเป๋ามาให้ เพราะรู้ว่าขุ่นพี่กำลังลดพุง (แต่..ไม่ทันแล้วน้องเอ้ย) ไม่อยากทานไรหนัก ๆ ค่ะ อันนี้อร่อยค่ะ ไม่มีน้ำตาล แชะกับฟูจิซังอวดน้องหน่อย
วันนี้ฟ้าเคลียร์มาก พี่ฟูจิซังอยู่ด้วยกันยั้นดึกเลย เคลียร์จนไม่คิดว่ารุ่งขึ้นฝนจะตกแบบ 24 ชม.เช่นกัน
วันรุ่งขึ้นตื่นมา เปิดหน้าต่างออกไป โอ้วม่ายยยยยยยย ฟูจิซังที่เมื่อวานมายิ้มให้ หายไปแล้ว!! และฝนก็ตกมาตลอด
46 47
วันนี้เลยคิดว่าจะลองนั่งบัส Green Line ไปเที่ยว Saiko Lake ดูบ้างดีกว่า Saiko Lake จริง ๆ สวยงามมากกก ธรรมชาติมากค่ะ เห็นภูเขาเรียงรายรอบทะเลสาบเต็มไปหมด แต่เสียดาย ฝนตกหนักมาก บีเลยไม่ได้ลงไปถ่ายรูปมาให้ดู ดังนั้นก็เลยเลือกลง Station ที่เป็น Bat Cave เพราะคิดว่า เข้าถ้ำหลบฝนหน่อยเห้ยยย (ค่าเข้า bat cave 100 yen เท่านั้นค่ะ)
48แต่บีคิดผิดค่ะ เพราะมันต้องมีทางเดินระหว่างเข้าถ้ำอีก ทั้งหนาว ทั้งเปียก ทางเดินก็ยาวพอสมควร ก้าวเท้าแทบไม่ออกค่ะ
ในถ้ำก็อย่าหวังว่าบีจะเห็นค้างคาวหรืออะไรหรอกนะคะ เพราะว่า รีบจ้ำ หาทางออกอย่างเดียวค่ะ
49 50
พอออกมาได้ก็ผิงไฟรัวๆค่ะ ไม่ไหวแล้ววว…แล้วก็นั่งรสบัสกลับยังจุดเริ่มต้นเลยค่ะ
51 52
กลับมาเปิดฮีตเตอร์ที่โรงแรมแป็ป แล้ววางแผนชีวิตใหม่ คิดว่าวันนี้คงไม่ใช่วันเที่ยวของเราแล้วล่ะ ทั้งหนาว ทั้งเปียก เลยขอเปลี่ยนให้วันนี้เป็นวันกินดีกว่า เอ๊า เริ่ม!
เริ่มจากออกไปทานอุด้งพื้นเมืองของชาว Kawaguchi-ko ร้านที่อยู่ตรงข้ามสถานี Kawaguchi-ko เลยสั่ง HOUTO เมนูแนะนำ กินแก้หนาวไปได้ดีมากกกค่ะ
53แต่ HOUTO ไม่มีเนื้อสัตว์ค่ะ ร่างกายยังต้องการโปรตีน เลยไปกินสเต็กต่อที่ร้าน Lake Side Coffee & Restaurant
แหนะ !! เซลฟี่ตัวเองเวลากิน เหมือนมีคนมานั่งกินด้วยไปอี๊กกก
54เท่านั้นไม่พอค่า งานของหวานต้องมา ร้าน Cheese Cake Garden อยู่ข้างล่าง Ropeway เลยค่ะ อยู่ตรง Bus Stop no.10 เลย ร้านนี้ต้องเป็นร้านเด็ด ร้านดีของคนไทยแน่ ๆ คนไทยล้วนค่ะ ที่นั่งทานอยู่ตรงนี้
บีสั่ง Cheese Cake เค้าแถมกาแฟร้อนมาให้กินอุ่น ๆ ด้วยค่ะ ดี๊ดีอ่ะ
ระหว่างรอบัสที่ Bus Stop no.10 ก็เซลฟี่ตัวเองกับร่มใสๆ สไตล์ญี่ปุ่นคาวาอี้นิดนึง
55 56
เมื่ออิ่ม ก็ง่วงค่ะ รีบกลับไปที่โรงแรมแล้วเปิดฮีตเตอร์นอนอย่างไว เก็บแรงไว้ผจญภัยต่อพรุ่งนี้ !!! เปิด Playlist ฟังเพลงชิว ๆ นอนเล่น Wifi ที่พักที่ญี่ปุ่นนี่คือเร็วมาก เร็วเท่าชินคันเซน เทียบกับ Wifi โรงแรมบ้านเราแล้วเพลียใจ โรงแรมห้าดาวบ้านเราบางที่ ใช้ 3G ยังเร็วกว่า
วันรุ่งขึ้น พี่ฟูจิซังแอบมาส่งเบา ๆ ที่หน้าต่างก่อนฝนจะตกทำให้เดินลากกระเป๋าลำบาก บีเลยจับ highway เที่ยวแรก 7 โมงเช้าไปชินจุกุเลย ระหว่างรอบัสมา ก็เซลฟี่นิดนึง คุณฟูจิซังแอบแว่บๆมาเข้าเฟรมด้วยนะ เห็นมั้ย
57 58
2 ชั่วโมงผ่านไปมาถึงชินจุกุ เดินมาวางกระเป๋าที่ Apartment Hotel Shinjuku ที่เดิม แต่ reception ยังไม่เปิด (เปิด 10 โมง) บีเลยเดินไปหาอะไรกินค่ะ ตอนนี้ที่ชินจุกุก็ฝนตกตลอดเวลาเหมือนกัน ก็เลยคิดว่า วันนี้จะเป็นวันขึ้นห้าง วันซื้อของฝากแล้วล่ะ
แต่เข้าห้างไม่ใช่ว่าจะเซลฟี่ไม่ได้นะจ้ะ หน้า Muji café เบาๆ
59แล้วพอเย็น ๆ บีก็นัดเจอเพื่อนกรุ๊ปเดิมที่ร้าน Aoyama Flower Market TEA HOUSE การเดินทางง่ายมากค่ะ
60ลงที่สถานี Omote sando ทางออก A4 เดินข้ามถนนเจอเลย
ร้านน่ารักมากกก ชาหอมมาก French toast ก็ดีงามค่ะ อ้อ มื้อนี้มีคนถ่ายรูปให้แล้วค่ะ สวยเชียว
พอทานเสร็จก็ได้เวลาช้อปปิ้งต่อค่ะ mission ในการหากระเป๋า BAO BAO ได้เริ่มขึ้น เดินไปกันสิ 3 ห้าง กว่าจะได้ ก็มาเจอที่ห้าง ShinQs ค่ะ เมื่อเดินเมื่อยช้อปกันอย่างหนักหนาแล้ว ก็ได้เวลากินรัวๆๆค่ะ63เริ่มจากซูชิร้านเด็ด ร้านดังที่ Sushizanmai ใกล้ห้าง ShinQs นั่นแหละค่ะ อร่อยดีงามทุกคำ ต่อด้วยร้านหอยเผาที่มีอยู่ใน guidebook ร้าน Isomaru Suisan สาขา sunshine dori สำหรับการเดินทางก็ให้ไปที่สถานี ikebukuro โลดค่ะ ใครที่พักแถวนั้น ไปทานเมื่อไหร่ก็ได้นะคะ เพราะร้านนี้เปิด 24 ชั่วโมง
64 65

มากินข้าวกับเพื่อนทีไร กลับรถไฟเที่ยวสุดท้ายทุกทีเชียว!!

วันรุ่งขึ้นก็ต้องกลับแล้ว ตื่นมาเอากระเป๋ามาวางไว้ที่ Reception ไว้ก่อน แล้วออกเดินทางไป Kawagoeเพราะบีชอบเที่ยวนอกเมืองนิดหน่อยค่ะ ไม่ค่อยปลื้มคนเยอะแยะ จอแจสักเท่าไหร่ ที่ Kawagoe จริงๆมีถนนโบราณอยู่ 1 เส้น แต่หลงค่ะ หาไม่เจอ (แฮ่) เลยเดินเล่นถนนอะไรไม่รู้ แต่ชอบค่ะ คนไม่พลุกพล่านดี มีสวนสาธารณะที่มีเด็ก ๆ เต็มไปหมด ซากุระกำลังปลิวออกจากต้น สวยสวรรค์มากกค่ะ
66 67
มีศาลเจ้าเล็ก ๆ ให้เข้าไปถ่ายเซลฟี่เบาๆ
68 69


เซลฟี่ตัวเองกิน Soft Cream ได้ด้วยน้า
      เซลฟี่ตัวเองกิน Soft Cream ได้ด้วยน้า

แต่ด้วยบีต้องกลับวันนี้แล้ว และควรจะออกจากชินจุกุ เวลาบ่ายสอง เพื่อให้ทันไฟล์ทกลับ ก็เลยไม่มีเวลาหาแล้ว รีบออกจาก Kawagoe ดีกว่า

แต่……

แต่ระหว่างทางนั้น ดันไปเจอ cat café จ้า ก็เลยแอบแวะเข้าไปนิดนึง
Cat café ที่นี่คิดเงินตามเวลาค่ะ บีมีเวลาเข้าไปแค่ 15 นาที เค้าคิดเงิน 150 yen
ใช่ค่ะ! 150 yen = 40 บาทไทยนี่แหละ ถูกเว่อร์ ค่าอาหารเปียกแมวยังไม่พอเลย
71 72
รีบออกจาก Kawagoe ไป Shinjuku รีบ check-out แล้วเอากระเป๋าและรีบขึ้น NEX มา Narita Airport เลยค่ะ ไม่ได้แวะกินอะไรเลย เพิ่งเห็นว่าจะบ่ายสามแล้ว กิน soft cream ไปอันเดียว เลยซื้อข้าวกล่องอัดกินบน NEX รัวๆ ป.ล.น้ำ Green Lemonade นี่ดีม๊ากๆค่ะ สดชื่นสุดๆ
73
ระหว่างทางบน NEX
แนะนำว่าอย่าหลับนะคะ
วิวดีมากกก ไหน ๆ จะกลับแล้ว
ชื่นชมวิวทิวทัศน์ต่างจังหวัดญี่ปุ่นก่อนลาจากนิดนึงค่ะ
74
จบทริปแบบห้วนๆนะคะ เพราะประเด็นจริง ๆ ของกระทู้นี้ก็คือ เคล็ดลับการเซลฟี่แบบไม่มีไม้มะม่วง โดยรูปทั้งหมดในกระทู้นี้ ที่บีไม่ได้บอกว่ามีพนักงาน หรือเพื่อนถ่ายให้ เป็นรูปที่บีเซลฟี่เองทั้งหมด โดยไม่ต้องพกขาตั้งกล้องให้หนัก , ไม่ต้องมีไม้สอยมะม่วงให้เกะกะ ไม่ต้องมีสายลั่นชัตเตอร์ ไม่ต้องกดถ่ายจากโทรศัพท์ อุปกรณ์หลักๆมี 3 อย่างค่ะ
1.กล้อง (ชัวร์ดิเห้ย)
2.กอลิร่า หรือขาหนวดปลาหมึก อันเล็กจิ๋ว ราคาไม่ถึงร้อย
3.เลนส์ซุปเปอร์ไวด์
Remark ไว้สำหรับมือใหม่ค่ะ ถ้าเป็นกล้องแบบพับจอได้จะดีมากก
อย่างทริปนี้บีใช้ Fuji X-A2 ช่วงที่เราตั้งเวลากล้อง ตอนเราวิ่งออกมา จะได้มองเห็นตัวเองได้ว่าหลุดเฟรมมั้ย บอดี้ไลน์เป๊ะรึยัง หน้าไม่ต้องไปซีเรียสค่ะ เน้นวิว เน้นบอดี้ไลน์ และบรรยากาศ เจิดดดดค่ะ
เคล็บลับที่ง่ายแสนง่าย
เราต้องมีมุมมองที่ดี ว่าวิวที่เราอยากได้นี้ ต้องวางกล้องไว้ตรงไหน และหาที่ตั้งมั่นของกล้องให้ได้ค่ะ ที่ราบทั้งหมดไม่ว่าจะบนกระเป๋าเดินทาง, รั้วบ้าน, อานจักรยาน, เสาไฟเตี้ยๆ วางได้หมดค่ะ แล้วเอากระเป๋าตังค์หรือ power bank หนุนเลนส์ให้เงยๆนิดหน่อย กดตั้งเวลา 10 วิ แล้ววิ่งไปยังจุดที่หมายตาไว้ ยืนยิ้ม หรือเล่นใหญ่ แนวทีเผลอตามสไตล์จนเสียงชัตเตอร์ดัง จบค่ะ!
จบแล้ว ที่ให้ติดตามมายืดยาว คือจบแล้วค่ะ!!
แต่รูปที่ได้ออกมา อาจเอียงบ้าง รูปไกลบ้าง ก็ rotate หรือ crop สิคะ ไม่ต้องโหลด app อะไรเล้ยยย ใน photo ของ iPhone ก็สามารถทำได้ แล้วใครใคร่จะใช้ VSCOcam ใช้ snapseed หรือ IG แต่งรูปก็ตามสไตล์ใคร สไตล์มันค่ะ บีใช้มันทุก app
อ่ะ
75
สาธิตให้เห็นภาพ behind the scene & การ process รูปค่ะ
1. อันนี้ถ่ายจากกล้อง Fuji X-A2 ค่ะ
2. เมื่อเล็งเห็นว่ามีโขดหินอยู่ 2 ก้อน ก็ตั้งกล้อง 1 ก้อน ไปนั่งอีก 1 ก้อน รูปเอียงก็ปรับเอาค่ะ
76
บนเรือก็วางกล้องได้นะคะ ถ้ากลัวกล้องตก ก็หาพวกเสื้อ หรือกระเป๋าเครื่องสำอาง เพิ่มความหนืดได้ดีค่ะ
รูปนี้พีคสุดค่ะ เพราะวางบนกระโปรงรถ (ใครก็ไม่รู้) แล้วฝนเพิ่งตกกลัวกล้องเปียก เลยเอาเสื้อวางไว้ก่อน ปรากฎเสื้อบังกล้องนิดหน่อย แต่ก็ crop ออกได้ค่ะ ไม่มีปัญหา ดึง highlight / brightness ภาพ สำหรับการตั้งเวลา บางครั้งตัวเราจะ Out focus นะคะ เพราะไม่ได้ focus นางแบบไว้แต่แรก ดังนั้น ไม่ควรเน้นหน้าค่ะ เอาแค่บอดี้ไลน์สวยงามพอแล้วเนาะ ^^
77
ส่วนนี้กล้องหน้า iPhone + Lens Super Wide ค่ะ เอาไว้ถ่ายที่ ๆ มีพื้นที่จำกัด อย่างบีไว้ถ่ายตอนทานข้าว เหมือนมีคนมากินข้าวด้วย ถ่ายรูปให้ (ฮ่าๆ)
78หวังว่ากระทู้นี้จะเป็นประโยชน์ให้สาว ๆ ที่ชอบลุยเดี่ยวเที่ยวเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องมีภาพเซลฟี่มีลักษณะเหมือนกำลังจะสอยมะม่วง หรือเซลฟี่แบบเห็นแต่หน้าตัวเอง โดยไม่รู้ว่า เฮ้! วิวคืออะรายย อีกต่อไป

ขอบคุณทุกคนมากนะคะ ที่ให้ความสนใจในกระทู้บ้าบ้าบอบอนี้ เค้าล้อเล่น

#ปลาบปลื้มหนักมาก

พูดคุยไลค์เพจได้ที่ www.facebook.com/beebugslollipop

หูยยย...แต่ละรูปสวยๆ เก๋ๆ ทั้งนั้นเลย แถมเทคนิคการถ่ายภาพก็เจ๋งฝุดๆ > <

ทีนี้ใครที่ไปเที่ยวคนเดียวก็สามารถมีภาพถ่ายของตัวเองไว้เป็นที่ระลึก อัพลงโซเชียลได้อย่างสบายๆ รับรองว่าเรียกไลค์ได้ถล่มทลายแน่นอนหากคุณกำลังมองหาสถานที่สวยๆของญี่ปุ่นแบบนี้อยู่ล่ะก็ ลองแวะมาดูที่ MushroomTravel/Japan  ได้นะคะ เผื่อมีสถานที่ถูกอกถูกใจคุณ จะได้ไปเก็บภาพสวยๆแบบนี้ยังไงล่ะ