วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ยามานาชิ.. ดินแดนแห่งภูเขาไฟฟูจิ และจิตวิญญาณแห่งชนชาติญี่ปุ่น

สำหรับทวีปเอเชียจากทั้งหมด 48 ประเทศ ญี่ปุ่นถือเป็นหนึ่งในไม่กี่สิบประเทศที่มีความโชคดีในเรื่องของทรัพยากรการท่องเที่ยวซึ่งมีอยู่อย่างหลากหลาย ทั้งทะเล ทะเลสาบ และภูเขา รวมทั้งสิ่งที่ชาวญี่ปุ่นสรรค์สร้างมาตั้งแต่โบร่ำโบราณที่เรียกว่าวัฒนธรรมขึ้น จนก่อเกิดเป็นประเพณีที่สวยงาม และสิ่งก่อสร้างเก่าแก่หลายๆ แห่งตามมา เรียกความสนใจให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติต่างมุ่งหน้าเดินทางสู่ดินแดนแห่งอาทิตย์อุทัยแห่งนี้ไม่สร่างซา แม้ว่าญี่ปุ่นจะผ่านเหตุการณ์ร้ายๆ ที่น่าหวาดผวามาหลายครั้งหลายคราแล้วก็ตาม แต่การท่องเที่ยวของที่นี่ก็ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วในทุกๆ ครั้ง  


ในครั้งนี้มัชรูมทราเวลจะนำท่านไปเยือนยังจังหวัดยามานาชิ ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับศูนย์กลางของเกาะฮอนชูบนพื้นที่ภูมิภาคจูบุซึ่งเป็นภูมิภาคในบริเวณเกือบกึ่งกลางของประเทศญี่ปุ่น โดยจังหวัดยามานาชินั้นยังได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งภูเขาไฟฟูจิ เพราะเป็นที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติฟูจิฮาโกอิซุอันเลื่องชื่อที่มีจุดเด่นคือภูเขาไฟฟูจิสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง รวมทั้งยังเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมประจำภูมิภาคอีกด้วย


ดินแดนแห่งภูเขาไฟฟูจิ

ภูเขาไฟฟูจิหรือฟูจิซังที่ยอดขาวๆ สูงเสียดเมฆนั้นถือเป็นสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่น ทั้งยังได้ชื่อว่าเป็น จิตวิญญาณของญี่ปุ่นมาตั้งแต่สมัยโบราณ  ตั้งอยู่ระหว่างจังหวัดยามานาชิ และจังหวัดชิซูโอกะ ซึ่งภูเขาไฟฟูจินี้คือแหล่งท่องเที่ยวหลักของอุทยานแห่งชาติฟูจิฮาโกอิซุ ซึ่งมีจุดเด่นคือยอดของภูเขาไฟที่มีหิมะปกคลุมอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะฤดูกาลไหนก็ตาม จึงทำให้สามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนไม่ว่าคุณจะอยู่มุมสูงบนเครื่องบิน หรือมุมต่ำในระดับสายตาก็ตาม และนี่ก็เป็นสิ่งสำคัญที่สร้างชื่อเสียงให้ฟูจิซังโด่งดังไปทั่วโลก


นอกจากนั้นฟูจิซังก็มีความสวยงามที่ตรึงตรานักท่องเที่ยวแตกต่างกันออกไปในแต่ละฤดูกาล โดยในช่วงฤดูใบไม้ผลินั้นทั้งดอกซากุระและดอกไม้นานาพรรณจะผลิบานสะพรั่งชูช่ออวดสีสันละลานตา เป็นดังฉากหน้าที่ส่งเสริมให้ฟูจิซังงดงามมากขึ้น ส่วนในฤดูร้อนนั้นเป็นช่วงที่นักปีนเขาดูจะชื่นชอบฟูจิซังมากที่สุด อีกทั้งในช่วงเวลากลางคืน แสงของไฟที่ส่องมาจากกระท่อมที่ตั้งอยู่บนฟูจิซังก็ดูจะสว่างไสวเห็นได้แต่ไกลกว่าฤดูไหนๆ กลายเป็นภาพสวยงามแปลกตาที่หาชมได้เฉพาะช่วงนี้เท่านั้น และเมื่อฤดูใบไม้ร่วงย่างเท้าก้าวเข้ามา เทือกเขาสีเขียวขจีก็จะเปลี่ยนสีสันกลายเป็นสีแดงและสีเหลือง อีกทั้งหิมะแรกบนฟูจิซังก็จะมาถึงในช่วงฤดูนี้ด้วย และปิดท้ายที่ฤดูหนาวซึ่งทัศนียภาพทั่วทั้งฟูจิซังและบริเวณใกล้เคียงจะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ ที่ให้บรรยากาศอันเงียบสงบแต่แฝงความงามในแบบคลาสสิกเอาไว้

อาณาจักรแห่งความอุดมสมบูรณ์

ยามานาชิเป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ในเขตจูบุของประเทศญี่ปุ่นที่รอบล้อมไปด้วยภูเขา ซึ่งนอกจากจะมีจุดขายคือภูเขาไฟฟูจิแล้ว ที่นี่ก็ยังมีชื่อเสียงทางด้านอุตสาหกรรมอัญมนีและเครื่องประดับ ที่ผลิตได้มากถึง 1 ใน 3 ของอัญมณีทั่วทั้งประเทศญี่ปุ่น รวมถึงไวน์พื้นเมือง และธรรมชาติอันสวยงามอีกด้วย อีกทั้งการเดินทางมายังยามานาชิยังสะดวกสบาย ด้วยเป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของกรุงโตเกียวและใช้เวลาในการเดินทางโดยรถไฟเพียงชั่วโมงครึ่งเท่านั้นก็มาถึงดินแดนที่เปรียบได้กับสวรรค์บนดินแห่งนี้แล้ว โดยนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังยามานาชิส่วนใหญ่ก็มีจุดมุ่งหมายคือการได้พิชิตยอดภูเขาไฟฟูจิบ้าง แช่ออนเซ็นบ้าง เนื่องจากที่นี่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในเรื่องของบ่อน้ำพุร้อนกางแจ้ง ที่นอกจากจะมีคุณภาพดีแล้ว วิวของฟูจิซังก็ยังสวยสะกดใจอีกด้วย นี่ยังไม่นับในเรื่องของอาหารการกินที่มีให้ลิ้มรสอยู่มิได้ขาด ทั้งองุ่นสายลูกโตๆ ลูกท้อรสหวานหอม ไวน์ชั้นดี สาเกรสชาติเยี่ยม ผักสดหลากชนิดตามฤดูกาล ฯลฯ


สำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจและอยากลองไปสัมผัสกับดินแดนแห่งภูเขาไฟฟูจิแห่งนี้สักครั้งในชีวิต ปัจจุบันการเดินทางไปยังยามานาชินั้นก็แสนจะสะดวกสบายกว่าแต่ก่อน อีกทั้งยังใช้เวลาในการเดินทางที่แสนสั้นเพียง 1.30 ชั่วโมงเท่านั้น อย่างที่ได้บอกไปในข้างต้น ที่นี่จึงเป็นที่ที่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลาได้เดินทางออกไปเที่ยวในที่ที่ห่างไกลจากกรุงโตเกียวมากนัก

วันพุธที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

3 แหล่งประวัติศาสตร์น่าอัศจรรย์แห่งกัมพูชา... ที่ขอท้าให้คุณไปเยือน

ในช่วงที่โลกกำลังเปลี่ยนผ่านสู่สหัสวรรษใหม่ หลายประเทศทั่วโลกต่างให้ความสนใจและลุ้นระทึกกับปัญหา Y2K ว่าจะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของพวกเขาอย่างไรบ้าง แต่อีกมุมหนึ่งของโลกบนพื้นที่ที่เรียกว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น กลับมีประเทศหนึ่งที่ยังคงโซซัดโซเซจากปัญหาสงครามกลางเมืองที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

แต่หลังจากสิบกว่าปีผ่านไป เมื่อเราหันกลับไปมองกัมพูชาในวันนี้ สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนก็คือความเปลี่ยนแปลงที่ต่างไปจากเดิมราวกับที่นี่ไม่เคยเกิดเหตุใดๆ มาก่อน ภายในกรุงพนมเปญเมืองหลวงของกัมพูชา วัดวาน้อยใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 เรียงสลับซับซ้อนในบริเวณใจกลางแหล่งประวัติศาสตร์ เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มีจำนวนมากกว่า 640,000 คน ในเวลาเพียงสามเดือนแรกของปีเท่านั้น ทั้งนี้กัมพูชายังถือเป็นอีกหนึ่งแหล่งประวัติศาสตร์สำคัญของโลก เพราะนอกจากจะเป็นที่ตั้งของนครวัดอันยิ่งใหญ่แล้ว สถานที่อื่นๆ ของกัมพูชาก็สวยงามและทรงคุณค่าไม่แตกต่างกัน ดังเช่นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งประวัติศาสตร์ชาติกัมพูชาทั้ง 3 แห่งนี้ที่มัชรูมทราเวลขอท้าให้คุณไปเยือน เพื่อสัมผัสความงามด้วยสายตาของคุณเองสักครั้ง


ปราสาทพนมจิสอร์



ปราสาทจิสอร์ตั้งอยู่บนเนินเขาที่อยู่ไม่ไกลจากกรุงพนมเปญมากนัก ที่มีมีจุดเด่นที่น่าพิศวงของสันดอนซึ่งอุดมสมบูรณ์ไปด้วยนาข้าวสีเขียวสดและบึงน้ำขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบวัดฮินดูขนาดเล็ก ซึ่งภายในคือหมู่อาคารสีน้ำตาลที่ทอดตัวลดหลั่นลงไปตามหน้าผาสูงชันอย่างน่าทึ่ง และถึงแม้ว่าวัดแห่งนี้จะดูคล้ายกับวัดที่รกร้างว่างเปล่า แต่กลับมีพระภิกษุจำวัดอยู่ และคอยทำหน้าที่เป็นไกด์นำนักท่องเที่ยวเดินไปตามขั้นบันไดโบราณที่ทอดยาวจำนวน 180 ขั้น และบันไดเวียนอีก 408 ขั้น เพื่อชมซากปรักหักพังของวัดที่สร้างจากหินทรายแห่งนี้อยู่เป็นประจำ


Getting there: สำหรับการเดินทางที่สะดวกที่สุดนั้น นักท่องเที่ยวสามารถว่าจ้างรถแท็กซี่เพื่อเดินทางไปยังสถานที่แห่งนี้ได้ในราคาประมาณ 640 บาท ส่วนค่าเข้าชมปราสาทจิสอร์นั้นอยู่ที่ประมาณ 60-70 บาทต่อคน

สมโบไพรกุก หรือป่าปราสาทแห่งกัมปงธม



สมโบไพรกุกหรือป่าปราสาทแห่งกัมปงธมเป็นที่ตั้งของอาณาจักรเจนละในสมัยพระเจ้าอิศานวรมันที่ 1 ในช่วงปี ค.ศ. 616-635  อันเป็นยุครุ่งเรืองของอาณาจักรแห่งนี้ เพราะสามารถรวบรวมเอาอาณาจักรฟูนันเข้ามารวมกันได้อย่างเป็นปึกแผ่น โดยตั้งอยู่ห่างจากเมืองเสียมเรียบไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเขตจังหวัดกัมปงธมประมาณ 120 กิโลเมตร ซึ่งสมโบไพรกุกนั้นมีลักษณะเป็นป่าโปร่งอันเต็มไปด้วยปราสาทขนาดเล็กที่ถูกสร้างกระจายอยู่ทั่วบริเวณ ทั้งนี้ปราสาททั้งหมดถูกสร้างขึ้นด้วยอิฐและหินทราย มีลวดลายการแกะสลักเป็นรูปคนและบริวารที่มีลักษณะคล้ายคลึงชาวอินเดียนและชาวกรีก


Getting there: จากกัมปงธมซึ่งเป็นเมืองที่อยู่กึ่งกลางระหว่างกรุงพนมเปญและจังหวัดเสียมเรียบ นักท่องเที่ยวสามารถเรียกรถแท็กซี่หรือมอเตอร์ไซค์รับจ้างจากตลาดกลางไปส่งที่สมโบไพรกุกได้ โดยใช้เวลาในการเดินทางไปทางทิศเหนือของกัมปงธมประมาณ 30 กิโลเมตร ในราคาประมาณ  160-320 บาทต่อคน

เกาะแกร์



เกาะแกร์ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 10  และมีสถานะเป็นอดีตนครหลวงที่มีอายุสั้นๆ แค่เพียง 20 ปีเท่านั้น โดยอีกนัยหนึ่งที่นี่ถูกเรียกว่าอาณาจักรนอกคอก สันนิษฐานว่าอาจเป็นเพราะอาณาจักรแห่งนี้เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ปฏิวัติยึดอำนาจในอดีตนั่นเอง ซึ่งเริ่มขึ้นในสมัยพระยโศวรมันที่ 1 ที่ได้ขยายอาณาจักรและสถาปนาเมืองหลวงขึ้นใหม่ในนามอาณาจักรยโศธรปุระที่พนมบาเค็งในปี ค.ศ. 898 และกลายเป็นเมืองที่รุ่งเรืองต่อมาจนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 921 เมื่อพระชัยวรมันที่ 4 ซึ่งมีฐานะอาเขยได้สะสมไพร่พลและอำนาจและสถาปนาตนขึ้นเป็นกษัตริย์แทน ก่อนจะสถาปนาอาณาจักรขึ้นใหม่แล้วปล่อยเกาะแกร์ให้รกร้างว่างเปล่ากลางป่าใหญ่ กระทั่งปัจจุบันเกาะแกร์ได้ถูกปลุกให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ และกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันแปลกใหม่และท้าทายให้ไปค้นหา บนพื้นที่จังหวัดเขาพระวิหาร ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองเสียมเรียบไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 80 กิโลเมตร


Getting there: เส้นทางสู่เกาะแกร์นั้นค่อนข้างลำบาก แต่นักท่องเที่ยวก็สามารถใช้บริการรถแท็กซี่จากเมืองเสียมเรียบไปยังเกาะแกร์ได้เลย โดยค่าบริการนั้นอยู่ที่ 1,600 -  3,200 บาท ทั้งนี้ราคาค่าโดยสารนี้จะขึ้นอยู่กับสภาพรถที่ให้บริการด้วย โดยหากเป็นรถใหม่สภาพดี มีเครื่องปรับอากาศก็จะมีราคาสูงกว่าปกติ 

วันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

9 เหตุผลดีๆ ที่ทำให้ฮ่องกงเที่ยวได้อย่างสบายใจไร้กังวล

เกาะฮ่องกงแม้ว่าจะมีขนาดและพื้นที่เรียกว่าเป็นเพียงแค่เกาะเล็กๆ ในทวีปเอเชีย แต่เกาะแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยสิ่งดีๆ ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมากมาย เพราะนอกจากจะเป็นบ้านเกิดของราชานักบู๊ชาวเอเชียที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกอย่างบรูซลีแล้ว ที่นี่ก็ยังมีอาหารเลื่องชื่อประเภทติ่มซำและอาหารจีนสไตล์กวางตุ้งให้ได้ลิ้มลอง ทั้งยังมีจุดเด่นคือบรรดาตึกสูงระฟ้าที่ไม่เคยหลับใหลแม้ในยามค่ำคืนอีกด้วย ส่วนสถานภาพของฮ่องกงนั้น เป็นเวลามากกว่า 15 ปีแล้ว นับตั้งแต่ประเทศอังกฤษส่งมอบเกาะฮ่องกงคืนให้กับการปกครองของจีน แต่กระนั้นฮ่องกงก็ยังมีสภาพคงเดิมและแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย ทั้งยังเป็นเมืองที่มีการแข่งขันทางด้านเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องนับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รวมถึงยังเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ดีที่สุดในโลกซึ่งเหมาะสำหรับการท่องเที่ยวแบบชิลล์ๆ ด้วยคุณสมบัติอันแตกต่างของฮ่องกงเมื่อเทียบกับเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ ที่เต็มไปด้วยสีสันเช่นเดียวกันกับฮ่องกง ดังที่มัชรูมทราเวลขอสรุปออกมาเป็นข้อๆ ดังต่อไปนี้


1. พรสวรรค์ทางด้านภาษา

เกาะอังกฤษคือหนึ่งในสถานที่เพียงไม่กี่แห่งในเอเชียที่ชาวพื้นเมืองสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีแม้จะมีสำเนียงติดภาษาพื้นเมืองอย่างภาษาจีนกวางตุ้งก็ตาม นอกจากนั้นชาวฮ่องกงไม่น้อยยังสามารถสื่อสารภาษาจีนกลางได้ดีอีกด้วย ดังนั้นนักท่องเที่ยวที่ต้องการมาเที่ยวยังเกาะแห่งนี้จึงไม่ต้องห่วงในการสื่อสารกับผู้คน ร้านค้า หรือร้านอาหารต่างๆ แต่ประการใด

2. ทุกชีวิตปลอดภัยที่ฮ่องกง 

ฮ่องกงคือเมืองที่มีอัตราของการเกิดอาชญากรรมต่ำที่สุดในโลก และมีความปลอดภัยเป็นอันดับหนึ่งในสามของโลก ซึ่งเป็นสถิติที่ถูกรวบรวมโดยสำนักงานสหประชาชาติว่าด้วยเรื่องของยาเสพติดและอาชญากรรมในปี 2011 ของสถานที่ที่มีคดีฆาตกรรมน้อยที่สุด โดยหากวัดจากสถิติ ฮ่องกงนั้นมีอัตราของการฆาตกรรมโดยเจตนาเพียง 0.2 คนเท่านั้น ต่อประชากร 100,000 คน ในรอบ 16 ปีมานี้ ดังนั้นนักท่องเที่ยวที่มาเยือนฮ่องกงจึงมั่นใจไร้กังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยได้เลย แต่อย่างไรก็ตาม การใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาทยังเป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวทุกคนควรตระหนักถึงแม้ว่าคุณจะอยู่ในที่ที่ปลอดภัยที่สุดในโลกก็ตาม

3. การเดินทางสุดสะดวกแสนสบาย 

สำหรับระบบการขนส่งสาธารณะของฮ่องกงนั้นถือว่าเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก ในเรื่องของประสิทธิภาพของระบบการขนส่งสาธารณะและสร้างผลกำไรได้อย่างมหาศาล ซึ่งนั่นก็ทำให้ฮ่องกงกลายเป็นอีกหนึ่งเมืองที่มีรถยนต์ส่วนตัวน้อยมากๆ โดยมีรถยนต์เพียงประมาณ 710,000 คันเท่านั้นที่ได้รับการจดทะเบียนเอาไว้

4. เมืองแห่งตึกสูงระฟ้า

เนื่องจากฮ่องกงนั้นเมื่อเทียบอัตราส่วนระหว่างพื้นดินและจำนวนประชากรแล้ว ถือว่าฮ่องกงมีดินแดนที่น้อยมากๆ ซึ่งแน่นอนว่าไม่เพียงพอที่จะรองรับกับจำนวนประชากรทั้งหมด และรวมถึงที่กำลังจะเพิ่มขึ้นในอนาคตด้วย ดังนั้นวิธีการแก้ปัญหาของฮ่องกงก็คือการนำพาพวกเขาขึ้นไปอยู่บนอาคารสูงเสีย จึงทำให้บรรดาคอนโดมิเนียม แฟลต อพาร์ทเม้นท์ อาคารสำนักงาน โรงแรม ฯลฯ ทั้งหลายทั้งปวงต่างแข่งกันผุดขึ้นอย่างกับดอกเห็ด จนตอนนี้ฮ่องกงมีจำนวนตึกระฟ้าที่มากถึง 1,251 หลัง และเป็นจำนวนที่เรียกว่ามากที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ ไม่เพียงเท่านั้นบรรดาตึกเหล่านี้ยังมีการออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดังในลักษณะรูปร่างต่างๆ หลากหลายแบบ กลายเป็นศิลปะบนที่สูงที่สวยงามและน่าทึ่งเป็นอย่างยิ่ง

5. สินทรัพย์มั่นคง

ฮ่องกงถือได้ว่าเป็นศูนย์กลางทางการเงินอันเป็นประตูสู่ตลาดจีน และนั่นก็ทำให้ฮ่องกงกลายเป็นสถานที่ที่ดีในการสร้างรายได้ให้กับแรงงานหลากหลายเชื้อชาติที่มาตั้งรกรากอยู่ที่นี่ด้วยอัตราเงินเดือนที่สูงลิบลิ่ว แต่กลับมีอัตราของการเสียภาษีที่อยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำหากเทียบกับประเทศผู้ทรงอิทธิพลทางด้านการเงินประเทศอื่นๆ อีกทั้งฮ่องกงยังไม่มีการเก็บภาษีการขายหรือที่เรียกว่าภาษีมูลค่าเพิ่มอีกด้วย ส่วนบริษัทและห้างร้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทจากต่างชาติหรือในท้องถิ่นเองก็มีอัตราภาษีกำไรที่เท่ากันคือ ต่ำกว่า 16.5% และไม่มีภาษีกำไรหุ้นในฮ่องกงอีกด้วย จึงไม่แปลกใจว่าทำไมฮ่องกงจึงกลายเป็นแหล่งการค้าและการลงทุนที่ใครๆ ก็อยากเข้าครอบครอง


6. อุตสาหกรรมหนังดังไกลระดับโลก

นับตั้งแต่อดีตภาพยนตร์แนวกังฟูถือเป็นอุตสาหกรรมการส่งออกที่สำคัญของเกาะฮ่องกง รวมทั้งยังสร้างชื่อให้กับดารานักแสดงของฮ่องกงหลากหลายคนจนมีผลงานและโด่งดังในระดับโลกมาแล้ว ทั้งบรูซลี เฉินหลง โจวเหวินฟะ จอห์นวู และหว่องกาไว เป็นต้น ซึ่งแทบไม่น่าเชื่อเลยว่าสำหรับเกาะเล็กๆ ที่มีประชากรอาศัยอยู่เพียง 7 ล้านคน ที่ซุกตัวอยู่ในดินแดนที่ห่างไกลจากโลกตะวันตกจะสามารถสร้างดาราฮอลลีวู้ดที่มีผลงานต่อเนื่องได้อย่างสวยหรู แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะเริ่มต้นจากหนังกังฟูอันเป็นศิลปะการต่อสู้ประจำท้องถิ่นก็ตาม

7. สนามบินคุณภาพคับแก้ว

หนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดของเกาะฮ่องกงซึ่งสร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนที่นี่ไม่น้อยก็คือสนามบินนั่นเอง อันเนื่องมากจากประสิทธิภาพของการเชื่อมโยงโครงข่ายการเดินทางสู่สถานที่ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งการต่อเครื่องสู่ประเทศอื่นๆ หรือแม้กระทั่งช่องทางการตรวจคนเข้าเมืองที่เต็มไปด้วยประสิทธิภาพและรวดเร็วทันใจ นั่นจึงทำให้สนามบินแห่งเกาะฮ่องกงถูกยกย่องให้เป็นสนามบินที่ดีที่สุดในโลกกับ 40 รางวัลที่ได้รับมา นับตั้งแต่เริ่มเปิดดำเนินงานในปี ค.ศ. 1998 นอกจากนั้นสนามบินแห่งนี้ยังถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในสนามบินที่ดีที่สุดโดย Skytrax อีกด้วย รวมถึงยังเคยสามารถโค่นบัลลังก์สนามบินชางงีของสิงคโปร์ได้อย่างสมศักดิ์ศรีอีกด้วย

8. อาหารการกินอุดมสมบูรณ์

ฮ่องกงมีประชากร 7 ล้านคน แต่มีร้านอาหารที่มากถึง 15,000 ร้าน ไม่เพียงเท่านั้นที่นี่ยังเต็มไปด้วยร้านอาหารข้างทาง หาบเร่แผงลอย ซึ่งมีอยู่แทบจะทุกที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแหล่งท่องเที่ยว จนอาจเรียกได้ว่าฮ่องกงนั้นมีความหนาแน่นของร้านอาหารมากกว่ามหานครนิวยอร์กเสียอีก ไม่เพียงเท่านั้น อาหารของที่นี่ยังมีความหลากหลายทั้งชนิดของอาหาร ไปจนถึงระดับราคากันเลยทีเดียว

9. ปาร์ตี้สุดเหวี่ยงทุกค่ำคืน

แหล่งบันเทิงยามค่ำคืนชื่อดังของฮ่องกงคงหนีไม่พ้นลานไคฟง ที่เปรียบได้กับแหล่งบันเทิงชื่อดังของเมืองไทยอย่างทองหล่อหรืออาร์ซีเอ ฯลฯ โดยเฉพาะในทุกช่วงคืนวันศุกร์นั้นถือเป็นเวลาพิเศษอย่างมากของบรรดานักเที่ยวทั้งขาจรและขาประจำที่มารวมตัวกัน ณ บริเวณนี้ ซึ่งลานไคฟงนั้นเต็มไปด้วยบาร์ ร้านอาหาร ร้านค้า ฯลฯ มากกว่า 100 ร้านบนพื้นที่ของถนนสั้นๆ เพียงไม่กี่ร้อยเมตร ทั้งนี้นอกจากลานไคฟงแล้ว ฮ่องกงก็ยังมีแหล่งสถานบันเทิงยามค่ำคืนในย่านอื่นๆ ที่ผุดขึ้นเอาใจขาแดนซ์อยู่อีกมากมาย

เกาะฮ่องกงนั้นอาจเป็นเพียงเกาะเล็กๆ ที่อยู่นอกสายตาของนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการผจญภัย หรือการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ แต่อย่างไรก็ดี ที่นี่ยังเต็มไปด้วยสิ่งต่างๆ ที่รอคอยให้นักท่องเที่ยวไปสัมผัสด้วยตัวเอง แล้วคุณจะรู้ว่าที่นี่ไม่ได้มีดีแค่การช้อปและชิมเท่านั้น...

ทัวร์ฮ่องกง

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

เปิดมุมมองที่แตกต่าง กับ 5 เหตุผลที่ทำให้ภูฏานไม่เหมือนใคร

ภูฏานหรือราชอาณาจักรภูฏานนั้นถือได้ว่าเป็นดินแดนแห่งความฝันของใครหลายๆ คน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่แสวงหาความสงบ และมิตรภาพของผู้คนที่มีค่าเหนือกว่าเงินตรามากมายนัก นั่นจึงทำให้ค่าใช้จ่ายในแต่ละวันขณะอยู่ในภูฏานมีค่าเฉลี่ยที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับประเทศท่องเที่ยวอื่นๆ อันเป็นค่าใช้จ่ายอย่างเป็นทางการซึ่งรวมทั้งค่าขนส่งทางบก ที่พัก อาหาร และบริการขั้นพื้นฐานต่างๆ นอกจากนั้นภูฏานยังเป็นประเทศเล็กๆ ที่โดดเด่นด้วยทัศนียภาพอันงดงามของแนวเทือกเขาสูงที่กระจายอยู่ทั่วราชอาณาจักรแห่งนี้ที่เป็นเสน่ห์ท้าทายนักเดินทางจากทั่วโลก อีกทั้งภูฏานยังมีความเป็นเอกลักษณ์ซึ่งแตกต่างจากชาติอื่นๆ ทั้งในเรื่องของวัฒนธรรมที่สวยงาม และวิถีชีวิตที่เรียบง่ายแต่ไม่ธรรมดา ดังเช่นที่มัชรูมทราเวลได้นำมาบอกเล่าเก้าสิบแก่ทุกท่านในครั้งนี้นี่เอง


1. ชีวิตที่เรียบง่ายแบบชาวภูฏาน



ภูฏานถือเป็นหนึ่งในสถานที่เพียงไม่กี่แห่งในโลกที่ย้ำเตือนผู้มาเยือนให้ได้รู้ซึ้งถึงความหมายที่แท้จริงของวัฒนธรรมอันสมบูรณ์แบบ แม้ปัจจุบันจะมีฐานะเป็นเมืองท่องเที่ยวอันมีรายได้หลักมาจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติก็ตาม แต่ที่นี่ก็ยังสามารถเก็บรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่หลากหลายตลอดทั้งปีไว้ได้อย่างดีเยี่ยม ที่สังเกตเห็นได้ง่ายๆ ก็ได้แก่การแต่งกายในแบบดั้งเดิมที่พบเห็นได้ทั่วไปตามท้องถนน ภาษาพูด รวมถึงสถาปัตยกรรมของอาคารสิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่เป็นศิลปะซึ่งผสมผสานกับพระพุทธศาสนา จนอาจเรียกได้ว่าผืนแผ่นดินนี้ล้วนมีความข้องเกี่ยวกับศาสนาในทุกๆ ด้านของชีวิต จนกระทั่งปี ค.ศ. 1999 เมื่อความเจริญทางด้านเทคโนโลยีอย่างทีวีและอินเตอร์เน็ตก้าวเข้าสู่ประเทศภูฏาน จึงทำให้ที่นี่เปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็นสมัยใหม่มากขึ้น

2. ความสงบภายใต้ร่มเงาแห่งพุทธศาสนา



เมื่อมาเยือนภูฏาน สถานที่แห่งหนึ่งซึ่งนักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดก็คือวัดรังเสือหรือวัดตักซังภายในเขตเมืองพาโร อันเป็นสถานที่สำคัญและเป็นวัดสำคัญที่สุดอีกแห่งหนึ่งของภูฏานที่ตั้งอยู่ริมหน้าผาที่มีความสูงกว่า 900 เมตร บนเทือกเขาหิมาลายา โดยสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1692  ดังนั้นผู้ที่คิดขึ้นไปเยี่ยมเยือนสถานที่แห่งนี้ อาจต้องใช้กำลังขามากสักหน่อย แต่หากใครไม่ถนัดในการเดินขึ้นเขาแล้วล่ะก็ ที่นี่ก็มีบริการม้าขี่ขึ้นเขาในราคา 500 งุลดรัมต่อเที่ยวและต่อคน (ประมาณ 300 บาท) นอกจากนั้นวัดรังเสือยังได้ชื่อว่าเป็นวัดอันศักดิ์สิทธิ์ที่นักแสวงบุญจากทั่วโลกให้ความเลื่อมใสศรัทธามากที่สุดอีกด้วย

3. รสจัดจ้านคือที่สุดของอาหาร



สำหรับคนภูฏานแล้ว การรับประทานอาหารรสจัดถือเป็นเรื่องปกติของอาหารในแต่ละมื้อของพวกเขา โดยอาหารของที่นี่ทุกเมนูจะค่อนข้างเรียบง่าย และมีส่วนประกอบของข้าว บะหมี่ ข้าวโพด ผัก มันหมู และพริกเป็นหลัก ซึ่งชาวภูฏานถือได้ว่าเป็นผู้ที่ชื่นชอบอาหารรสจัดไม่แตกต่างจากคนไทย หรืออาจจะชื่นชอบรสเผ็ดมากกว่าเราเสียด้วยซ้ำ เพราะพวกเขาไม่ได้ถือว่าพริกเป็นหนึ่งในเครื่องปรุงรสดังเช่นคนไทย แต่พวกเขาถือว่าพริกคือผักอีกหนึ่งชนิดที่จะขาดไม่ได้ในอาหารทุกมื้อ นอกจากนั้นชาวภูฏานยังมีอาหารประจำชาติที่พวกเขาภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งคือเมนู Ema Datshi ที่ประกอบด้วยพริกสดกับซอสเนยต้มกับหัวไช้เท้า มันหมู และหนังหมูนั่นเอง ดังนั้นหากนักท่องเที่ยวท่านใดไม่นิยมอาหารรสจัด ก่อนสั่งอาหารรับประทานทุกครั้งจะต้องไม่ลืมแจ้งให้พนักงานทราบระดับความเผ็ดที่คุณสามารถทานได้เสียก่อน แล้วจะหาว่าเราไม่เตือน!

4. สู่จุดหมายปลายทางที่ไม่คาดคิด



เมืองปูนาคามีสถานะเป็นอดีตเมืองหลวงเก่าของภูฏานที่มีอายุกว่า 300 ปี และมีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ของประเทศแห่งนี้ ตั้งอยู่ในบริเวณที่ราบลุ่มกลางหุบเขาซึ่งห่างจากทิมพูเมืองหลวงในปัจจุบันของภูฏานประมาณ 76 กิโลเมตร โดยเป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยป่าทึบสลับกับต้นสนไซปรัสซึ่งเป็นต้นไม้ประจำชาติ นอกจากนี้ในระหว่างทางยังมีจุดชมวิวที่ชื่อโชดูลา และนาข้าวขั้นบันไดที่สวยงามให้ชื่นชมอีกด้วย ทั้งนี้ปูนาคานอกจากจะมีอดีตเป็นเมืองหลวงเก่าแล้ว ยังเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยสถานที่ที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา รวมถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานของภูฏานอีกมากมาย ที่นักท่องเที่ยวต้องไปเยือนสักครั้ง

5. ความบันเทิงยามค่ำคืนสไตล์ภูฏาน



สำหรับนักท่องราตรีทั้งหลาย แม้ภูฏานไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นประเทศที่เจริญแล้วเช่นเดียวกับประเทศท่องเที่ยวอื่นๆ จากทั่วโลก แต่ที่นี่ก็ยังพอมีสถานบันเทิงยามค่ำคืนให้ได้พอเปิดหูเปิดตาบ้าง ไม่ว่าจะเป็นร้านคาราโอเกะ โต๊ะบิลเลียด ร้านกาแฟ รวมทั้งไนต์คลับสไตล์พื้นบ้านของภูฏานที่มาพร้อมลูกบอลดิสโก้หลากสีและแสงไฟริบหรี่ท่ามกลางการตกแต่งภายในด้วยไม้ในแบบง่ายๆ แต่ประทับใจทุกคนที่มาเยี่ยมเยือน

How to Get There: 

การเดินทางสู่ประเทศภูฏาน นักท่องเที่ยวจะต้องใช้บริการบริษัททัวร์เท่านั้น และต้องให้บริษัททัวร์ทำการขอวีซ่าให้ในลักษณะเป็นหมู่คณะ ดังนั้นท่านจึงไม่สามารถเดินทางเข้าไปได้ด้วยตัวเอง ยกเว้นแต่ได้รับการเชื้อเชิญจากชาวภูฏานเป็นลายลักษณ์อักษร นอกจากนั้นในขั้นตอนการขอวีซ่า นักท่องเที่ยวจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมล่วงหน้าในการอาศัยอยู่ในประเทศภูฏานในราคาขั้นต่ำ 200 เหรียญสหรัฐฯ ต่อวัน ซึ่งเป็นราคาที่รวมทุกอย่างไว้พร้อมสรรพ ทั้งค่าที่พัก อาหาร และบริการขนส่ง โดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่มอีกหลังจากที่เดินทางเข้าสู่ภูฏานเรียบร้อยแล้ว